วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

My Life #2 : Open Your Mind, Enjoy with Us

                    หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย ผมก็ได้เข้าร่วมสอบเอ็นทรานซ์ตามเพื่อน ๆ แม้ในใจผมจะรู้ดีว่าไม่มีทางสอบติด เพราะไม่ได้อ่านหนังสืออะไรก่อนเข้าสอบเลย ทีแรกกะว่าจะไม่เอ็น เพราะตั้งใจจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยย่านหัวหมากอยู่แล้ว แต่ที่ไปก็เพราะอยากให้ครอบครัวรวมถึงอากงอาผอสบายใจและมีความหวัง สุดท้ายก็เหมือนเสียเวลาและเหนื่อยเปล่า แถมยังเหมือนเอาเงินไปทิ้ง ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมคงจะบอกทุกคนไปตรง ๆ ว่าจะไม่เอ็น แต่คะแนนที่ออกมาผมก็พอใจกับบางวิชานะ เช่น ภาษาอังกฤษ ขนาดไม่อ่านอะไรไปเลย

                    สุดท้ายผมก็ตัดสินใจไปสมัครเรียนมหาวิทยาลัยดังกล่าวในคณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด ช่วงแรก ๆ ก็ไปเข้าเรียนตามปกติ แต่หลัง ๆ เนื่องจากความขี้เกียจที่เป็นสันดาน และการที่ไม่บังคับเข้าเรียนของทางมหาวิทยาลัย ขอแค่สอบให้ผ่านก็พอ ก็เลยเลิกเข้าเรียน ซื้อชีทอ่านแล้วไปสอบอย่างเดียว ปีแรกก็ยังสอบผ่านเกือบทุกวิชา แต่ปี 2 เป็นต้นมา วิชาที่สอบผ่านต่อเทอมก็มีจำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ

                    ปลายปีของการเรียนมหาวิทยาลัยปีแรก เพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยม แต่คนละห้อง ชื่อ “โอม” ได้แชทมาชวนเข้าวงดนตรี ซึ่งรวมกับเพื่อนร่วมห้องของผมสมัยมัธยมปลายอีกคนชื่อ “เอิร์ธ” (แต่เพื่อน ๆ เรียกเขาว่า “สด”) และเพื่อนของเอิร์ธชื่อ “โอ” ซึ่งทุกคนล้วนเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ทำให้นัดกันเพื่อซ้อมดนตรีได้ง่าย วันที่นัดกันวันแรกได้เจอเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยคนหนึ่งโดยบังเอิญ เขาสนใจเข้าร่วมวง คนนี้ชื่อ “ฟลุค” ผมเสนอชื่อวงไปว่า “Pofeo” เป็นการนำตัวอักษรแรกของชื่อเล่นของทุกคนมารวมกัน แต่หลังจากรวมวงซ้อมกันได้ไม่กี่ครั้งก็มีอันต้องแยกวง เพราะมีหลายอย่างไปด้วยกันไม่ได้ โดยโอมได้คุยกับผมว่าจุดเริ่มแรกที่อยากทำวง เพราะอยากมีผลงานของตัวเอง ไม่ใช่เอาแต่ไปเล่นเพลงของคนอื่น ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกับผม

                    เพลงแรกที่ผมนำไปเสนอวงคือเพลง “ภาพความฝัน” ซึ่งมีโอมคนเดียวที่เอาด้วยกับเพลงนี้ ในขณะที่คนอื่นในวงไม่เอาด้วย หลังจากแยกวงกันแล้วผมกับโอมก็ตกลงกันว่าเราจะทำวงกันต่อ โดยผมเป็นนักร้องนำและมือกีต้าร์ ส่วนโอมเป็นมือเบส ทีนี้ก็ขาดตำแหน่งมือกลอง หากันอยู่นานหลายเดือนจนในที่สุดก็ได้พบกับ “วิน” ซึ่งเป็นแฟนคลับ Paradox เหมือนกัน และคุยแชทกันมานาน แต่ไม่รู้มาก่อนว่าเล่นกลองเป็น เขาบอกว่าเล่นไม่เก่ง เพิ่งหัดเล่นไม่นาน ผมก็บอกว่าไม่เป็นไร ขอแค่ใจมาก็พอ ที่เหลือพัฒนากันได้ แถมพวกเราก็ไม่มีใครเก่งกันจริง ๆ สักคน ฝีมือระดับเริ่มเล่นกันทั้งนั้น สมัยนั้นผมยังโซโล่ไม่เป็นเลย ตีคอร์ดเป็นอย่างเดียว ส่วนโอมยังอ่านคอร์ดติดชาร์ปติดแฟลตไม่เป็นเลย พอคุยกันลงตัวแล้วก็นัดเจอกันที่มหาวิทยาลัยที่ผมกับโอมเรียน และไปซ้อมดนตรีกัน ซึ่งครั้งแรกก็เล่นเพลงทั่วไปกันก่อนเพื่อสร้างความคุ้นเคย แต่ปรากฏว่าไม่ลงตัวกันเท่าไหร่ เนื่องจากฝีมือแต่ละคนเข้าขั้น "ห่วยมาก" แน่นอนรวมถึงผมด้วย ต่อมาก็นัดซ้อมกันเรื่อย ๆ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ผมได้แต่งเพลงไปเสนอวง ซึ่งก็เสนอไปเรื่อย ๆ แหละ สุดท้ายเพลงที่ผ่านความเห็นชอบจากวงเพลงแรกก็คือเพลง “เปิดใจ” (เพลงภาพความฝัน เคยนำไปซ้อมกับวงช่วงแรก ๆ แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปกันว่า “มันธรรมดาเกินไป” จึงคัดออก)

                    เพลง “เปิดใจ” เป็นเพลงที่พูดถึงตัวเอง ซึ่งเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่เธออาจจะมองว่าไม่น่าสนใจโดยตัดสินแค่เพียงมองผ่าน แต่หากเธอเปิดใจมาคบกัน คนที่เธอตามหามาตลอดชีวิตอาจเป็นเราก็เป็นได้ โดยเปรียบกับวงของเราเองที่สื่อสารกับคนที่ได้ยินได้ฟังเพลงของวงว่าให้ลองเปิดใจฟังเพลงของพวกเราดู ฟังแล้วอาจจะชอบก็ได้

                    ห้องซ้อมที่เราซ้อมประจำอยู่ย่านอุดมสุข เนื่องจากสะดวกผมกับโอม ส่วนวินน่าจะเรียกได้ว่าไม่สะดวกเพราะอาศัยอยู่ย่านทหาร เนื่องจากพ่อเป็นทหารระดับสูง แต่วินบอกว่าไม่มีปัญหา พอตกลงกันเรื่องเพลงแรกของวงได้แล้วก็นำมาซ้อมกันทุกครั้งจนกว่าจะลงตัว ซึ่งก็ขัดเกลากันมาตลอดทั้งไลน์กีต้าร์ เบส กลอง ต่อมาผมก็เสนอเพลงที่สองซึ่งเป็นเพลงที่แต่งไว้ให้แฟนคลับ Paradox คนหนึ่ง ซึ่งเขาขอให้ช่วยแต่งเพลงที่ชื่อว่า “โลดแล่น” ให้หน่อย ผมจึงเขียนเพลงโลดแล่นโดยมีเพลง “คลาย” ของ Paradox เป็นแรงบันดาลใจ เพลงจึงออกมาฟังแล้วมีความเป็น Paradox สุด ๆ แต่พอเอาไปเสนอต่อเขาแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะได้นำไปเล่นหรือเปล่า เนื่องจากไม่รู้ข่าวเลย ผมจึงตัดสินใจนำเพลงดังกล่าวมาเสนอวง ปรากฏว่าทางวงโอเค เพลงนี้จึงกลายเป็นเพลงที่ 2 ของวงอย่างเป็นทางการ

                    ในเวลาต่อมา สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญสำหรับวงดนตรีวงหนึ่งก็ถูกเสนอขึ้นมานั่นคือเรื่อง “ชื่อวง” ผมก็ใช้มุกเดิมคือเอาตัวอักษรแรกของชื่อเล่นมารวมกันเป็นวง “POW” โอมลงความเห็นว่ามันเห่ยมาก แต่ตอนนั้นก็ใช้ไปก่อนให้เจ้าของห้องซ้อมลงชื่อวงเวลาโทรไปจองห้อง ภายหลังผมจึงเสนอชื่อวงว่า “Us” แปลว่า “เรา” ซึ่งทุกคนในวงโอเค แต่สุดท้ายเจ้าของห้องซ้อมก็ลงชื่อผมเป็นคนจองอยู่ดี ไม่เคยลงเป็นชื่อวงเลยสักครั้ง

                    ตลอดเวลาเกือบ 2 ปี เราซ้อมดนตรีกันโดยไม่มีวี่แววว่าจะไปได้ไกลไปกว่าการสนอง need ของตัวเองในห้องซ้อม เพลงสุดท้ายของวงได้ถูกเสนอขึ้นมาช่วงที่วงใกล้ถึงจุดสิ้นสุดในเวลาอีกไม่นาน เนื่องจากโอมขึ้นปี 4 แล้ว และมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นทนายตามรอยพ่อของตัวเอง จึงจำเป็นต้องเลิกเล่นดนตรี และศึกษากฎหมายอย่างเดียวเพื่อไปสอบเนติต่อไป เพลงสุดท้ายนี้ชื่อเพลงว่า “แสงจันทร์แห่งรัตติกาล” ซึ่งเปรียบราตรีมืดมนเป็นเหมือนชีวิตตัวเอง แต่ในยามมืดมนนั้นมีแสงจันทร์ที่เหมือนเป็นความงามเพียงหนึ่งเดียว เป็นเหมือนจุดหมาย เป็นความหวัง แต่มันไกลเกินไป ไม่อาจไปถึง ซึ่งอาจจะเปรียบเหมือนไปรักคนที่สูงเกินไปก็ได้ แต่แท้จริงผมเขียนมาเพื่อเปรียบกับวงตัวเองอีกนั่นแหละ ที่สุดท้ายคงไม่มีวันไปถึงจุดหมายที่วาดฝันกันเอาไว้ และมันก็ดันเป็นความจริงอีกต่างหาก หลังจากนั้นไม่นานวงก็มีอันต้องยุบตัวลง

                    ในปี 2007 มีโครงการ AIS Future World ที่ห้างเปิดใหม่ “Siam Paragon” ซึ่งเปิดให้สามารถซ้อมดนตรี และบริการบันทึกเสียงให้ฟรี ผมจึงลงชื่อจองไป 3 วัน และได้อัดเดโมเพลงวง Us ทั้ง 3 เพลงสำเร็จเป็นที่ระลึกก่อนที่จะยุบวงอย่างเป็นทางการ โดยมือเบสที่มาเล่นแทนโอมคือ “ต้น” มือเบสวง LS20

                    ผม, โอม, และวิน เรา 3 คนซ้อมดนตรีร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 10 ธันวาคม 2009 หลังจากนั้นเป็นต้นมาเราก็ไม่ได้รวมวงเล่นดนตรีกัน 3 คนแบบนี้อีกเลย นับเป็นการซ้อมดนตรีร่วมกันครั้งสุดท้ายของสมาชิกดั้งเดิมของวง และยุบวงอย่างเป็นทางการ