ต่อมาในปี 2006 เกิดการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ เมื่อวันที่ 19 กันยายน ในเวลานั้นผมไม่ได้ต่อต้านการรัฐประหาร ผมคิดว่าดีแล้วที่ทำให้ทักษิณพ้นไปจากตำแหน่งเสียที แม้จะตระหนักว่าการรัฐประหารนั้นไม่ชอบธรรมตามวิถีทางประชาธิปไตย
ต่อมาในปี 2008 ผมเริ่มไม่โอเคกับความ “ล้นเกิน” ของการเคลื่อนไหวของกลุ่มพธม. แม้จะมีความเห็นใจอยู่บ้างในความสูญเสียเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม แต่ไม่กี่วันต่อมา ข่าวงานศพของโบว์ อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ผมต้องอึ้ง หลังจากนั้นผมจึงมีโอกาสได้รู้จักเว็บบอร์ด “ฟ้าเดียวกัน” ซึ่งทำให้มุมมองทางการเมืองของผมเปลี่ยนไปตลอดกาล
ช่วงแรก ๆ ที่ติดตามเว็บบอร์ดดังกล่าว ผมอยู่ในภาวะ “รับไม่ได้” เพราะเล่นถึงระดับสูงสุดกันเลยทีเดียว ในช่วงนั้นแม้ผมจะพอเห็นอะไรอยู่บ้างจากกรณีงานศพ แต่ผมยังเชื่อว่าระดับสูงกว่านั้นไม่มีความเกี่ยวข้อง แต่ความเชื่อนั้นก็ได้ถูกสั่นคลอนลงทุกวันเมื่อผมได้รับรู้ข้อมูลอีกด้านที่ไม่เคยรู้มากขึ้น แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังเชื่อว่าคนเหล่านี้ล้วนจับแพะชนแกะใส่ความอย่างมั่ว ๆ คนเหล่านี้ล้วนเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” จึงยังมองคนกลุ่มนี้ในแง่ลบตลอดมา แต่ต่อมาพอผมมีโอกาสได้คลุกคลีกับคนกลุ่มนี้จริง ๆ กลับกลายเป็นว่า หลายคนก็วิจารณ์ทักษิณ วิจารณ์นปช. วิจารณ์เสื้อแดง กลายเป็นว่าความเชื่อที่ว่าคนกลุ่มนี้เป็นขี้ข้าทักษิณก็ถูกหักล้างไปในที่สุด (แต่ก็มีบางคนที่เป็นจริง ๆ) มุมมองของผมต่อคนกลุ่มนี้จึงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
หลังจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมในเดือนพฤษภาคม 2010 ความรู้สึกของผมที่มีต่อสิ่งที่เคยเคารพจากที่เหลืออยู่น้อยนิดซึ่งน้อยลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่รู้จักกับเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกันก็หมดสิ้นลง ในช่วงปลายปีเดียวกัน ผมได้เขียนเพลงเพื่อระบายในสิ่งที่ผมอยากจะพูดมากที่สุดนั่นคือเพลง “กูไม่รักมึง” โดยตั้งใจออกแบบเป็นแนว punk rock เพราะแนวเพลงที่เหมาะจะพูดเรื่องนี้มากที่สุดก็คือแนว punk นี่แหละ หลังจากเขียนเพลงนี้เสร็จ ผมก็มีความคิดที่จะทำวง punk rock ที่เขียนเพลงเสียดสีสังคม การเมือง ศาสนา วัฒนธรรม จารีต ฯลฯ ทันที
ต้นปี 2011 ในขณะที่ผมทำงานอยู่ที่ซอฟต์แวร์เฮ้าส์แห่งหนึ่ง หัวหน้าผมเป็น “คนเสื้อแดง” ซึ่งผมรู้ตั้งแต่เข้าทำงานวันแรกโดยที่เขายังไม่ทันได้บอกผม เนื่องจากเขาติดสติ๊กเกอร์ “คุณซาบซึ้ง” ไว้บนโน้ตบุ๊กของเขา พอผมเห็นเข้าผมก็รู้ได้ในทันทีว่าจุดยืนทางการเมืองของเขาน่าจะประมาณไหน ในช่วงแรก ๆ ที่รู้จักกัน ผมเปิดเผยจุดยืนทางการเมืองของผมแบบกั๊ก ๆ แต่พอสนิทกัน ผมก็เปิดเผยแบบตรงไปตรงมา ทั้งจุดยืนทางการเมือง และทางศาสนา วันนั้นผมได้พกกีต้าร์โปร่งไปด้วย และได้แต่งเพลง “One One Two” รวมถึงคิดชื่อวงได้ในวันเดียวกัน ชื่อวงคือ “Fuxk Fake Force” ทีแรกจะใช้ตัว C ตรง ๆ แต่คิดว่าคงโดนเซ็นเซอร์ และทำให้สมัครโน่นสมัครนี่ หรือทำอะไรในอนาคตลำบาก จึงเปลี่ยนเป็นตัว X แทน คอนเซ็ปต์ของการแต่งเพลงให้วงนี้คือ เขียนเนื้อเพลงให้ต้องตีความเล็กน้อย แต่เอาเข้าจริงแล้วคนที่เข้าใจก็จะเข้าใจได้ในทันทีเลย และใช้คอร์ดน้อยที่สุด ท่อนร้องหลัก ๆ ในเพลงทั้ง 2 เพลงที่กล่าวมาล้วนใช้คอร์ดเดียว ส่วนท่อนดนตรีมีคอร์ดเพิ่มขึ้นนิดหน่อย (อันที่จริง เพลง punk ควรมีเนื้อหาแบบตรงไปตรงมา แต่ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าเรื่องบางอย่างมันพูดตรง ๆ ในประเทศไม่ได้ เลยต้องมีการเข้ารหัสกันบ้าง)
เดือนเมษายน 2011 ผมได้ทาบทามมือเบสที่เป็นแฟนคลับ Paradox และเคยซ้อมดนตรีด้วยกัน รวมถึงเคยทำเพลงร่วมกัน มาร่วมวง Fuxk Fake Force และชักชวน "วิน" มือกลองวง Us มาเล่นกลองให้ชั่วคราวเพื่ออัดเดโมเพลงของวง ต่อมาในวันที่ 2 พฤษภาคม เราได้อัดเดโมกันที่ห้องซ้อมดนตรีย่านอ่อนนุช จากนั้นผมกับมือเบสได้ร่วมกันแต่งเพลง “All We Need Is Sex” เป็นเพลงที่ 3 ของวง และมีโปรเจ็คจะทำอัลบั้ม compilation ร่วมกับวงอื่น ๆ โดยจะบรรจุ 3 เพลงนี้ลงในอัลบั้มดังกล่าว จากนั้นเราได้เริ่มอัดเพลงกันที่ห้องนอนของมือเบสในเดือนตุลาคม แต่แล้วความขัดแย้งก็เริ่มต้นขึ้น มือเบสปฏิเสธที่จะทำเพลง One One Two ซึ่งผมไม่โอเคเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนั้นผมก็ยอม ๆ ไปเพื่อให้งานเดินหน้า แต่เนื่องจากการบันทึกเสียงในครั้งนี้มีหลายอย่างที่ทำให้เราทั้งสองคนไม่แฮปปี้ที่จะทำงานร่วมกัน ถึงที่สุดแล้วผมจึงตัดสินใจเลิกที่จะทำต่อ โปรเจ็ควง Fuxk Fake Force จึงต้องพักลงไปอย่างไม่มีกำหนด แต่หลังจากนั้นงานเพลง “All We Need Is Sex” ได้รับการบันทึกเสียงจนเสร็จสมบูรณ์ และถูกปล่อยออกไปในนามวงอื่น
ปัจจุบันเพลงที่ผมแต่งไว้สำหรับวง Fuxk Fake Force มีเพียงพอสำหรับผลิตงานอัลบั้มเต็มเรียบร้อยแล้ว โดยตั้งใจจะใช้ชื่ออัลบั้มว่า “Fake Land” หากมีโอกาสจะนำมาบันทึกเสียงให้สมบูรณ์
ต่อมาในปี 2008 ผมเริ่มไม่โอเคกับความ “ล้นเกิน” ของการเคลื่อนไหวของกลุ่มพธม. แม้จะมีความเห็นใจอยู่บ้างในความสูญเสียเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม แต่ไม่กี่วันต่อมา ข่าวงานศพของโบว์ อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ผมต้องอึ้ง หลังจากนั้นผมจึงมีโอกาสได้รู้จักเว็บบอร์ด “ฟ้าเดียวกัน” ซึ่งทำให้มุมมองทางการเมืองของผมเปลี่ยนไปตลอดกาล
ช่วงแรก ๆ ที่ติดตามเว็บบอร์ดดังกล่าว ผมอยู่ในภาวะ “รับไม่ได้” เพราะเล่นถึงระดับสูงสุดกันเลยทีเดียว ในช่วงนั้นแม้ผมจะพอเห็นอะไรอยู่บ้างจากกรณีงานศพ แต่ผมยังเชื่อว่าระดับสูงกว่านั้นไม่มีความเกี่ยวข้อง แต่ความเชื่อนั้นก็ได้ถูกสั่นคลอนลงทุกวันเมื่อผมได้รับรู้ข้อมูลอีกด้านที่ไม่เคยรู้มากขึ้น แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังเชื่อว่าคนเหล่านี้ล้วนจับแพะชนแกะใส่ความอย่างมั่ว ๆ คนเหล่านี้ล้วนเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” จึงยังมองคนกลุ่มนี้ในแง่ลบตลอดมา แต่ต่อมาพอผมมีโอกาสได้คลุกคลีกับคนกลุ่มนี้จริง ๆ กลับกลายเป็นว่า หลายคนก็วิจารณ์ทักษิณ วิจารณ์นปช. วิจารณ์เสื้อแดง กลายเป็นว่าความเชื่อที่ว่าคนกลุ่มนี้เป็นขี้ข้าทักษิณก็ถูกหักล้างไปในที่สุด (แต่ก็มีบางคนที่เป็นจริง ๆ) มุมมองของผมต่อคนกลุ่มนี้จึงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
หลังจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมในเดือนพฤษภาคม 2010 ความรู้สึกของผมที่มีต่อสิ่งที่เคยเคารพจากที่เหลืออยู่น้อยนิดซึ่งน้อยลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่รู้จักกับเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกันก็หมดสิ้นลง ในช่วงปลายปีเดียวกัน ผมได้เขียนเพลงเพื่อระบายในสิ่งที่ผมอยากจะพูดมากที่สุดนั่นคือเพลง “กูไม่รักมึง” โดยตั้งใจออกแบบเป็นแนว punk rock เพราะแนวเพลงที่เหมาะจะพูดเรื่องนี้มากที่สุดก็คือแนว punk นี่แหละ หลังจากเขียนเพลงนี้เสร็จ ผมก็มีความคิดที่จะทำวง punk rock ที่เขียนเพลงเสียดสีสังคม การเมือง ศาสนา วัฒนธรรม จารีต ฯลฯ ทันที
ต้นปี 2011 ในขณะที่ผมทำงานอยู่ที่ซอฟต์แวร์เฮ้าส์แห่งหนึ่ง หัวหน้าผมเป็น “คนเสื้อแดง” ซึ่งผมรู้ตั้งแต่เข้าทำงานวันแรกโดยที่เขายังไม่ทันได้บอกผม เนื่องจากเขาติดสติ๊กเกอร์ “คุณซาบซึ้ง” ไว้บนโน้ตบุ๊กของเขา พอผมเห็นเข้าผมก็รู้ได้ในทันทีว่าจุดยืนทางการเมืองของเขาน่าจะประมาณไหน ในช่วงแรก ๆ ที่รู้จักกัน ผมเปิดเผยจุดยืนทางการเมืองของผมแบบกั๊ก ๆ แต่พอสนิทกัน ผมก็เปิดเผยแบบตรงไปตรงมา ทั้งจุดยืนทางการเมือง และทางศาสนา วันนั้นผมได้พกกีต้าร์โปร่งไปด้วย และได้แต่งเพลง “One One Two” รวมถึงคิดชื่อวงได้ในวันเดียวกัน ชื่อวงคือ “Fuxk Fake Force” ทีแรกจะใช้ตัว C ตรง ๆ แต่คิดว่าคงโดนเซ็นเซอร์ และทำให้สมัครโน่นสมัครนี่ หรือทำอะไรในอนาคตลำบาก จึงเปลี่ยนเป็นตัว X แทน คอนเซ็ปต์ของการแต่งเพลงให้วงนี้คือ เขียนเนื้อเพลงให้ต้องตีความเล็กน้อย แต่เอาเข้าจริงแล้วคนที่เข้าใจก็จะเข้าใจได้ในทันทีเลย และใช้คอร์ดน้อยที่สุด ท่อนร้องหลัก ๆ ในเพลงทั้ง 2 เพลงที่กล่าวมาล้วนใช้คอร์ดเดียว ส่วนท่อนดนตรีมีคอร์ดเพิ่มขึ้นนิดหน่อย (อันที่จริง เพลง punk ควรมีเนื้อหาแบบตรงไปตรงมา แต่ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าเรื่องบางอย่างมันพูดตรง ๆ ในประเทศไม่ได้ เลยต้องมีการเข้ารหัสกันบ้าง)
เดือนเมษายน 2011 ผมได้ทาบทามมือเบสที่เป็นแฟนคลับ Paradox และเคยซ้อมดนตรีด้วยกัน รวมถึงเคยทำเพลงร่วมกัน มาร่วมวง Fuxk Fake Force และชักชวน "วิน" มือกลองวง Us มาเล่นกลองให้ชั่วคราวเพื่ออัดเดโมเพลงของวง ต่อมาในวันที่ 2 พฤษภาคม เราได้อัดเดโมกันที่ห้องซ้อมดนตรีย่านอ่อนนุช จากนั้นผมกับมือเบสได้ร่วมกันแต่งเพลง “All We Need Is Sex” เป็นเพลงที่ 3 ของวง และมีโปรเจ็คจะทำอัลบั้ม compilation ร่วมกับวงอื่น ๆ โดยจะบรรจุ 3 เพลงนี้ลงในอัลบั้มดังกล่าว จากนั้นเราได้เริ่มอัดเพลงกันที่ห้องนอนของมือเบสในเดือนตุลาคม แต่แล้วความขัดแย้งก็เริ่มต้นขึ้น มือเบสปฏิเสธที่จะทำเพลง One One Two ซึ่งผมไม่โอเคเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนั้นผมก็ยอม ๆ ไปเพื่อให้งานเดินหน้า แต่เนื่องจากการบันทึกเสียงในครั้งนี้มีหลายอย่างที่ทำให้เราทั้งสองคนไม่แฮปปี้ที่จะทำงานร่วมกัน ถึงที่สุดแล้วผมจึงตัดสินใจเลิกที่จะทำต่อ โปรเจ็ควง Fuxk Fake Force จึงต้องพักลงไปอย่างไม่มีกำหนด แต่หลังจากนั้นงานเพลง “All We Need Is Sex” ได้รับการบันทึกเสียงจนเสร็จสมบูรณ์ และถูกปล่อยออกไปในนามวงอื่น
ปัจจุบันเพลงที่ผมแต่งไว้สำหรับวง Fuxk Fake Force มีเพียงพอสำหรับผลิตงานอัลบั้มเต็มเรียบร้อยแล้ว โดยตั้งใจจะใช้ชื่ออัลบั้มว่า “Fake Land” หากมีโอกาสจะนำมาบันทึกเสียงให้สมบูรณ์