ปีที่ 5 ในการเรียนที่มหาวิทยาลัยย่านหัวหมาก ผมเริ่มตระหนักว่าหากผมยังดึงดันที่จะเรียนที่นี่ต่อไป อีก 10 ปีก็คงไม่จบ ผมจึงตัดสินใจทิ้งสิ่งที่สะสมมาตลอดเวลา 5 ปีเพื่อเริ่มต้นใหม่ ผมเลือกที่จะเข้าเรียนในระดับปวส. เพื่อที่จะนำวุฒิที่ได้ไปสมัครงาน และเรียนต่อปริญญาตรี ผมเป็นคนไม่ชอบเรียนในหลักสูตรการศึกษา เพราะระบบบังคับให้ต้องเรียนในสิ่งที่ไม่อยากเรียน รู้ในสิ่งที่ไม่อยากรู้ หากผมอยากเรียนรู้อะไร ผมจะศึกษาเอง และจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะศึกษามากกว่า
ผมเลือกเรียนปวส. ในสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ที่สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท โดยใช้วุฒิม.6 ในการสมัคร ที่เลือกสาขาคอมพิวเตอร์ไม่ใช่เพราะชอบ แต่เลือกเพราะคิดว่าน่าเรียนที่สุดในหมู่ตัวเลือกที่มีให้เลือกทั้งหมด ด้วยความที่ผมไม่เคยเรียนในระดับปวช.มาก่อน ผมจึงจินตนาการไม่ออกว่าระดับปวส.จะมีหลักสูตรการเรียนการสอนอย่างไร แต่พอได้เรียนแล้วจึงพบว่า หลักสูตรส่วนใหญ่ของปวส.แทบไม่ต่างกับระดับมัธยมเลยสักนิด หลาย ๆ วิชานั้นง่ายกว่าสมัยเรียนมัธยมหลายเท่า โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งเนื้อหาเทียบเท่าระดับที่ผมเคยเรียนสมัยประถมที่โรงเรียนเดิม แต่สิ่งที่ทำให้ผมอึ้งจริง ๆ คือ มีเพื่อนร่วมห้องจำนวนมากไม่เข้าใจภาษาอังกฤษในระดับพื้น ๆ เช่นนี้ ผมจึงไม่แน่ใจว่าพวกเขาจบม.6 หรือปวช.มาได้อย่างไร สิ่งที่แตกต่างจากการศึกษาระดับมัธยมคือ วิชาเฉพาะทางของสาขา ซึ่งเป็นวิชาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ทั้งหมด รวมถึงวิชาเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ ในส่วนของวิชาคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นการ coding หรือการเขียนโค้ด ซึ่งต้องเรียนรู้ภาษาต่าง ๆ ในการเขียนโค้ด เช่น C, Basic, Pascal เป็นต้น รวมถึงการวิเคราะห์และออกแบบระบบ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างโปรแกรม หรือซอฟต์แวร์ขึ้นมาสักตัวหนึ่ง ในส่วนของวิชาบริหารธุรกิจ แทบจะไม่ต่างจากที่เคยได้เรียนในมหาวิทยาลัย
ในชีวิตการเรียนปวส.นี้ ผมเลือกที่จะเรียนภาคค่ำ เนื่องจากเป็นคนนอนดึก (บางทีก็นอนตอนเช้าเลย) และตื่นนอนตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ ด้วยไลฟ์สไตล์เช่นนี้ ผมจึงไม่สามารถเลือกเรียนภาคปกติได้ การเรียนมีวันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 18.00-21.00 น. วันละ 1-2 วิชา เพื่อนร่วมห้องส่วนใหญ่เป็นคนวัยทำงาน มีอายุพอ ๆ กับผม ผู้ชายส่วนใหญ่จะออกแนวนักเลง ๆ หน่อย ดื่มเหล้า สูบบุหรี่กันทุกคน แต่ทุกคนมีอัธยาศัยดี สามารถคุยเล่นกันได้ในเวลาไม่นาน ต่อมาผมซึ่งเรียนเก่งกว่าทุกคนในห้อง จึงได้รับฉายาจากเพื่อน ๆ ว่า “ด๊อกเตอร์” และหลายครั้งก่อนสอบปลายภาค ผมมักจะเป็นคนติวหนังสือให้เพื่อน โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ วิชาคำนวณ และวิชาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่จริงผมก็รู้สึกตลกอยู่นิด ๆ ว่าคนที่เอ็นไม่ติดอย่างผมกลายเป็นนักเรียนดีเด่นระดับท็อปของที่นี่ไปได้อย่างไร แม้แต่อาจารย์ทุกคนที่นี่ยังยอมรับในความสามารถ ถึงขนาดส่งผมเป็นตัวแทนไปแข่งขันการทดสอบโปรแกรม Turbo-C และคว้าเหรียญทองมา แน่นอนด้วยความที่ชอบเล่นดนตรี ผมจึงรวมวงกับเพื่อนร่วมห้องนัดซ้อมดนตรีอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากมีห้องซ้อมดนตรีตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับร้านอาหารที่เรานั่งกินอยู่เป็นประจำก่อนเข้าเรียน แต่ก็เป็นวงที่เล่นขำ ๆ ไม่ได้จริงจังอะไร
2 ปีต่อมา ผมจบการศึกษาระดับปวส.ด้วยเกรดเฉลี่ยค่อนข้างสูงมาก และค่อนข้างมีความมั่นใจในความสามารถของตัวเองในระดับหนึ่ง ว่าจะสามารถทำงานในอาชีพ “โปรแกรมเมอร์” ได้ ประกอบกับการที่ผมเห็นเพื่อนหลายคนที่จบสายนี้มาแล้วแต่ทำงานไม่ตรงตามสายที่เรียน ทำให้ผมมีความต้องการที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ให้ได้ ผมจึงเริ่มต้นหางานผ่านเว็บไซต์หางานแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนสมัครสมาชิกจะต้องกรอกรีซูเม่ (resume) ผมก็กรอกไปตามจริง แต่ด้วยความเกรียนของผม ผมจึงกรอกในส่วนของความสามารถพิเศษ งานอดิเรก และรางวัลที่ได้รับไปแบบไม่คิดอะไร ซึ่งถ้าหลายคนเห็นเข้าก็คงขำ และคิดว่ากรอกไปแบบนี้ใครจะรับเข้าทำงานวะ แต่ปรากฏว่าหลังจากสมัครไปเพียงวันเดียว เช้าวันต่อมาก็มีซอฟต์แวร์เฮ้าส์แห่งหนึ่งย่านอ่อนนุชติดต่อมาขอสัมภาษณ์ ผมถึงกับงงไปเลยทีเดียว แต่ก็ตอบตกลง และเตรียมตัวไปให้สัมภาษณ์อย่างมีความหวัง
การสมัครงานครั้งแรก ผมค่อนข้างเกร็ง เพราะไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง พอไปถึงเขาก็ทดสอบความสามารถของผมทันที ทั้งข้อเขียนและภาคปฏิบัติ ในส่วนของข้อเขียนก็ไม่มีอะไรมาก ในส่วนของภาคปฏิบัตินั้นโจทย์คือให้ออกแบบฐานข้อมูล และโปรแกรมที่สามารถออกใบเสร็จรับเงินได้ตามกำหนด ให้เวลา 2 ชั่วโมง ซึ่งผมสามารถทำได้ในระดับหนึ่ง แม้จะไม่สมบูรณ์ จากนั้นทางผู้บริหาร และโปรแกรมเมอร์ของบริษัทก็มาสัมภาษณ์ ผมคิดว่าตอนนั้นผมตอบได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เนื่องจากไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ใจผมก็แอบมั่นใจว่าผมน่าจะผ่าน วันต่อมาเจ้าของบริษัทก็ติดต่อมาแจ้งว่า “ผ่าน พรุ่งนี้มาเริ่มงานได้เลย” ผมดีใจมาก ไม่คิดว่าชีวิตจะโชคดีได้ขนาดนี้ จะมีสักกี่คนที่สมัครงานครั้งแรกแล้วได้งานทันที ผมมีความพร้อมอย่างมากที่จะเริ่มต้นทำงานในวันรุ่งขึ้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าการทำงานจริงมันไม่ได้ง่ายอย่างที่ผมคิด
การทำงานวันแรก ผมต้องเข้างาน 8.30 น. และผมพยายามตั้งใจที่จะไม่เข้างานสาย ตลอดช่วง 3 เดือนแรกผมตั้งใจว่าจะทำผลงานให้ดีเพื่อที่จะได้ผ่านโปร วันแรกบริษัทได้ปูพื้นว่าบริษัททำอะไรบ้าง ขายอะไรบ้าง หน้าที่ของผมต้องทำอะไรบ้าง วันต่อมาผมต้องเรียนรู้โปรแกรมของบริษัท และมีโจทย์ให้ลองทำ ตลอดเดือนแรกผมได้รับโจทย์ และเรียนรู้อะไรมากมายที่ไม่เคยได้จากหลักสูตรการศึกษาจากสถาบันที่เรียนเลย ทำให้รู้ว่าการทำงานจริงมันไม่ได้ง่ายเหมือนที่เรียนมาเลยสักนิด และมานั่งคิดว่าทำไมหลักสูตรมันไม่สอนอะไรพวกนี้เลยวะ สอนแค่ให้คนเป็นเป็ด รู้ทุกอย่าง แต่อย่างละนิดเดียว ผมต้องปรับตัวกับชีวิตการทำงานอย่างมาก เพราะผมแทบไม่เคยต้องตื่นเช้าแบบนี้ตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลาย ผมต้องพยายามนอนไม่เกินเที่ยงคืน เพื่อที่จะได้ตื่นได้อย่างไม่อ่อนเพลีย แต่ก็แทบจะทำไม่ได้ บางทีผมจึงต้องงีบในที่ทำงาน แม้อาจจะทำให้บางคนในบริษัทไม่พอใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้งานเสียแต่อย่างใด
ด้วยความที่ผมเป็นคนเรียนรู้เร็ว ทำงานเร็ว พอผ่านไป 3 เดือนผมก็ผ่านโปร และได้โจทย์ใหม่ที่ท้าทายคือให้สร้างโปรแกรมเฉพาะทางสำหรับบริษัทที่ให้บริการด้าน Paperless ผมใช้เวลาประมาณ 2 เดือนก็ทำได้เสร็จเกือบสมบูรณ์ (ไม่มีโปรแกรมใดสมบูรณ์หรอก เพราะมันอาจมี bug ให้คุณต้องแก้ และคุณจะต้องพัฒนาโปรแกรมของคุณตลอดเวลา) ทั้งนี้ส่วนหนึ่งที่สำคัญคือการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ จากหัวหน้าของผม สำหรับผมแล้วหัวหน้าคนนี้คือ “อาจารย์ตัวจริง” ผมได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยได้จากการศึกษาในหลักสูตรจากเขานี่แหละ และเป็นประสบการณ์สำคัญที่สามารถนำไปต่อยอดในการเรียนในระดับปริญญาตรีต่อไป
หลังจากที่ผมเรียนจบปวส. ผมก็เรียนต่อปริญญาตรีทันทีที่มหาวิทยาลัยย่านหนองแขม แต่ผมเรียนที่วิทยาเขตย่อยซึ่งคือที่สถาบันเดิมที่ผมเรียนปวส.นั่นเอง สรุปก็คือผมเรียนที่เดิมที่เคยเรียนตอนปวส.นั่นแหละ ผมเลือกเรียนในคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ หลักสูตรระดับปริญญาตรีมีความยากกว่าระดับปวส.อยู่พอสมควร แต่ก็ไม่เกินความสามารถของผมนัก ซึ่งผมมองว่ามหาวิทยาลัยแห่งอื่นคงยากกว่านี้เยอะ ในการเรียนปริญญาตรีนี้ ผมเลือกที่จะเรียนไปพร้อมทำงานที่ซอฟต์แวร์เฮ้าส์ดังกล่าวไปด้วย และแน่นอนว่าผมเลือกที่จะเรียนภาคค่ำเช่นเดิม เลิกงาน 17.30 น. เข้าเรียน 18.00 น. มีเวลาเดินทางประมาณ 30 นาที การเรียนปริญญาตรีแทบไม่ต่างจากตอนเรียนปวส.นัก เพื่อนร่วมห้องส่วนใหญ่ก็กลุ่มเดิม ๆ ที่เคยเรียนด้วยกันสมัยปวส. แต่ดีหน่อยตรงที่ครั้งนี้ผมได้เรียนที่ตึกใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน ซึ่งอุปกรณ์หลายอย่างทันสมัยกว่าตึกเดิม อาจารย์ส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ที่สอนประจำอยู่ที่ย่านหนองแขม คาดว่าสอนเสร็จแล้วเดินทางมาสอนที่นี่ต่อตอนเย็น อาจารย์บางส่วนก็เป็นอาจารย์ที่สอนอยู่ที่สถาบันที่ผมเรียนตอนปวส. บางคนก็เป็นคนที่สอนผมสมัยปวส.มาก่อน ซึ่งก็ดีอย่างหนึ่งคือมีความคุ้นเคยกันดี อาจารย์ส่วนใหญ่อัธยาศัยดี การเรียนการสอนจึงเป็นไปอย่างสนุกสนานกว่าสมัยปวส. ยกเว้นอาจารย์คนหนึ่งที่สอนวิชาการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ที่มาจากสถาบันแห่งหนึ่งย่านลาดกระบัง ซึ่งอาจารย์คนนี้สอนไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถทำให้นักศึกษาเข้าใจในวิชาที่เขาสอนได้ ขนาดผมเองยังแค่พอเข้าใจบ้างเท่านั้น ในส่วนของเพื่อน ๆ นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ก่อนสอบปลายภาค คะแนนเก็บวิชานี้ของคนทั้งห้องโดยเฉลี่ยคือไม่ถึง 10 คะแนน และคาดว่าแทบไม่มีใครสามารถทำข้อสอบปลายภาคได้อย่างแน่นอน แทบทุกคนในห้องจึงพร้อมใจกันเขียนชื่อในกระดาษคำตอบ แล้วส่งกระดาษเปล่า มีเพียงไม่กี่คนที่ทำข้อสอบ หากผมทำผมก็คงผ่าน แต่ผมไม่มีอารมณ์ที่จะทำ และอยากร่วมส่งกระดาษเปล่าเพื่อสไตรค์อาจารย์คนนี้มากกว่า ซึ่งการทำเช่นนี้ส่งผลให้ผมติด F วิชานี้ และผมจะไม่ได้รับเกียรตินิยม แต่ผมไม่แคร์ เพราะผมไม่เคยให้ความสนใจกับสิ่งที่เรียกว่าเกียรตินิยมเลยแม้แต่นิดเดียว จากนั้นในเวลาต่อมาอาจารย์คนนี้ก็ไม่ได้มาสอนที่นี่อีกเลย
ช่วงปีที่ 2 ของการเรียนปริญญาตรี หลายอย่างค่อนข้างหนักขึ้น และมีโปรเจ็คจบที่ต้องทำ ผมจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำโดยให้เหตุผลเรื่องการเรียนที่หนักขึ้น แต่ผมยังคงติดต่อกับหัวหน้าอยู่ตลอด รวมถึงเพื่อนร่วมงานบางส่วน และผมคิดว่าจะกลับไปทำงานที่นี่อีกครั้งหลังจากเรียนจบ โปรเจ็คจบที่ผมพรีเซ้นต์และส่งอาจารย์ก็คือโปรแกรมเฉพาะทางสำหรับบริษัทที่ให้บริการด้าน Paperless ที่ผมเคยทำให้กับที่ทำงาน แต่เอามารื้อทำใหม่ทั้งหมด และพัฒนาให้ถูกต้องตามหลักการทางทฤษฎีมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะนำไปเป็นผลงานให้กับที่ทำงานเมื่อกลับเข้าทำงานครั้งใหม่อีกด้วย เท่ากับเป็นการพัฒนาโปรแกรมของบริษัทไปในตัว
หลังจากเรียนจบปริญญาตรี ประกอบกับโปรแกรมเมอร์เดิมของบริษัทกำลังจะลาออก ผมจึงบอกหัวหน้าว่าผมจะกลับไปทำงาน ซึ่งครั้งนี้ไม่ต้องสัมภาษณ์อะไร แค่พูดคุยตกลงเรื่องเงินเดือน และการทำงานเท่านั้นก็เริ่มงานได้ทันที การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและลงตัว ผมค่อนข้างแฮปปี้กับการกลับมาทำงานในรอบล่าสุดนี้ แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงวันที่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารปี 2014 ก็ถึงจุดที่ผมต้องขอต่อรองกับบริษัทว่าจะขอทำงานนอกสถานที่โดยไม่เข้าบริษัทเลย รับงานและอัพเดทงานผ่านทางอีเมล์ แต่ขอรับค่าจ้างเป็นเงินเดือนแบบเดิม ไม่ขอรับเป็นจ๊อบ จะลดเงินเดือนลงก็ได้ ซึ่งผมได้เสนอเงินเดือนที่ลดลงไปพอสมควร แต่ทางบริษัทไม่โอเค ผมจึงขอลาออก