วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2566

My Life #12 : ชีวิตในเรือนจำ

                    หลังจากแต่งเพลงซ้อมดนตรีกับวง Risky Drop อย่างต่อเนื่อง มีเพลงใหม่ ๆ จนสามารถรวมเป็นอัลบั้มได้แล้ว เราวางแผนจะอัดอัลบั้มกันในปี 2021 ผมกะว่าจะซื้ออุปกรณ์มาอัดในช่วงมีนาคมหรือเมษายน แต่ต้นเดือนมีนาคมก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้แผนทั้งหมดพังทลายลง

                    เช้าวันที่ 5 มีนาคม 2021 ประมาณ 10-11 โมงเช้า เจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 5 คนเข้ามาจับผมพร้อมหมายจับและหมายค้น ผมโดนยึดมือถือและโน้ตบุ๊ก และถูกควบคุมตัวไปปอท.เพื่อให้ปากคำในชั้นสอบสวนในคดี 112 ซึ่งผมโดนฟ้องจากการโพสข้อความบนเพจ Facebook ตัวเองทั้งหมด 3 โพสท์ ซึ่งผมให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ทางเจ้าหน้าที่ทำเรื่องขอฝากขังผม ซึ่งศาลพิพากษาให้ฝากขัง ผมขี้เกียจคัดค้านก็ทำไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทางครอบครัวยื่นขอประกันตัว ศาลก็ไม่ให้ประกัน ผมจึงมีโอกาสใช้ชีวิตในเรือนจำเป็นครั้งแรก ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าคาดการณ์ไว้อยู่แล้วตั้งแต่เข้าไทยมารักษาอาการป่วยจากโรคตับอ่อนอักเสบ ซึ่งถ้ารักษาที่ประเทศเพื่อนบ้านจนสุดทาง ไม่กลับไทย ผมน่าจะตายไปแล้ว เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าถ้าให้ติดคุกขอตายดีกว่า ช่วงปี 2020 เคยคิดจะไปมอบตัวแล้วฆ่าตัวตายให้มันจบ ๆ แต่ก็เปลี่ยนใจ แล้วพอโดนจับจริง ๆ ก็ไม่ได้คิดแบบวันนั้นอีก

                    ผมเคยจินตนาการว่าในคุกแม่งต้องแย่มาก ๆ จากการดูหนังอะไรพวกนี้ แต่ปรากฏว่าคุกจริงแม่งไม่ได้เป็นแบบในหนัง ดีกว่าเยอะ และผมสามารถปรับตัวอยู่กับมันได้ตั้งแต่วันแรก ผมไม่เครียด ออกไปทางปลง และคิดว่าต้องอยู่ยาวหลายสิบปี อาจจะตลอดชีวิต ผมเชื่อมั่นไปแล้วว่าศาลไม่ให้ประกันแน่ ๆ 100% เพราะคดี 112 ในอดีตแทบไม่เคยมีใครได้รับการประกันตัว โดยเฉพาะคนที่มีประวัติการเคลื่อนไหวการเมืองแรง ๆ หลายคนไม่แรงเท่าผม หรือแม้แต่ไม่เคยเคลื่อนไหวอะไร ยังติดคุกด้วยข้อหานี้ไปหลายปี หลายคนไม่ได้เข้าข่ายเลยด้วยซ้ำ แค่โดนแจ้งความ โดนกล่าวหาด้วยมาตรานี้ ก็ต้องถูกคุมขังฟรี ๆ ไปแล้ว และต้องสู้คดีในคุก คงไม่ต้องสาธยายอะไรให้ยาวเกินไป ทุกคนสามารถไปหาข้อมูลพวกนี้และพิจารณาเองได้ว่ากฎหมายรวมถึงกระบวนการยุติธรรมไทยมันส้นตีนเพียงใด

                    ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯที่ผมอยู่ ต้องกำหนดให้แดน ๆ หนึ่งกลายเป็นแดนพิเศษไว้รับผู้ต้องขังใหม่ รวมถึงผู้ต้องขังที่ไปขึ้นศาลและกลับเข้ามาอีกรอบ เพื่อกักตัว 14 วันตามมาตรการควบคุมโรค แดนนั้นคือแดน 2 (ปกติก่อนหน้าสถานการณ์โควิดจะเป็นแดน 1 ที่รับผู้ต้องขังใหม่) สำหรับแดนนี้ผู้ต้องขังทุกคนจะต้องอยู่แต่ในห้องบนเรือนนอน แทบไม่ได้ออกจากห้องถ้าไม่จำเป็น ทั้งนี้เพื่อกักตัวไม่ให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ

                    วันแรกที่ถูกนำตัวเข้ามา ทุกคนจะต้องถูกบังคับให้โกนผม และรับผ้าห่ม, ขัน, สบู่, แปรงสีฟัน, ยาสีฟัน, เสื้อ, กางเกง ไว้ใช้สำหรับ 14 วันที่อยู่ในแดนนี้ มีแค่เสื้อกับกางเกงที่เจ้าหน้าที่ (ซึ่งก็คือผู้ต้องขังเหมือนกัน แต่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้) จะนำตัวใหม่มาให้เปลี่ยนทุกวัน ในแต่ละวันจะมี schedule ที่ชัดเจนแน่นอนว่าอาหารจะมาเวลาไหน ทุกคนต้องตื่นมาเช็คยอดกี่โมง ซึ่งแดนนี้เช็คยอดไม่บ่อยเท่าแดนอื่น คือเช็คแค่ 3 ครั้งมั้ง ในขณะที่แดนอื่นๆเช็คกัน 7 ครั้ง ไม่รู้จะเช็คอะไรนักหนา วัน ๆ คือแทบไม่ต้องทำอะไร นอนดูทีวีเป็นหลัก โดยทางส่วนกลางเปิดให้ดูเป็นเวลาคือราวๆ 10 โมงถึงบ่ายโมงแล้วปิด เปิดอีกทีราวๆบ่าย 3 ถึง 3 ทุ่มครึ่ง ไม่นับตอนตี 5 ที่เปิดบทสวดมนต์ของศาสนาพุทธ 20 นาที ตามด้วยเพลงสรรเสริญพระบารมี ทางผู้คุมขอความร่วมมือให้ทุกคนลุกขึ้นมานั่งสวดมนต์ และยืนเคารพเพลงสรรเสริญฯ แต่แทบไม่มีใครให้ความร่วมมือ อย่างน้อยก็ในห้องผม ซึ่งผมเปิดตัวตั้งตัวตีในการเสนอให้ทุกคนร่วมมือกันไม่ต้องทำตาม แต่จะมีบางคนที่นั่งสวดมนต์ แต่ไม่มีใครสักคนที่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญฯ ระหว่างที่ทีวีไม่เปิดเรามักจะนั่งคุยกัน ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องคดีตัวเอง ชีวิตตัวเอง ปรับทุกข์กันไป และด้วยความที่คดีของผมเป็นคดีการเมือง เลยได้คุยเรื่องการเมืองพอสมควร คนส่วนใหญ่ในห้องที่ผมอยู่จะสนับสนุนม็อบคนรุ่นใหม่ เกลียดประยุทธ์ และไม่ชอบกษัตริย์คนปัจจุบัน เลยเข้าทางผมเลย บางคนไปม็อบมาด้วย และรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของผมมาบ้าง

                    ผมโชคดีหน่อยตรงที่ได้รับการช่วยเหลือจากองค์กรต่าง ๆ ที่ให้การช่วยเหลือผู้ต้องขังในคดีทางการเมือง ทั้ง "ศูนย์ทนายสิทธิมนุษยชน" และกลุ่ม "ในนามของความสงบเรียบร้อย" โดยทางทนายได้เข้ามาเยี่ยมสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ผลัดกันมา คนไหนสะดวกก็มา มีซื้อของฝากมาด้วย โดยของฝากต้องซื้อในเรือนจำเท่านั้น แล้วฝากเข้ามาในแดน แต่ของฝากส่วนใหญ่ที่ผมได้รับจะมาจากทางกลุ่มในนามของความสงบเรียบร้อยมากกว่า ซึ่งทีแรกก็ไม่รู้ว่าจากกลุ่มไหน องค์กรไหน นึกว่ามาจากทางทนายทั้งหมด แต่ทนายบอกไม่ใช่ ซึ่งก็มารู้ภายหลังว่ามาจากกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม ของฝากเหล่านี้ก็ช่วยผมได้มากเลยทีเดียว ทำให้ผมใช้ชีวิตในคุกไม่ลำบากเกินไป มีของกินของใช้ส่งมาทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งในช่วง 14 วันที่อยู่ที่แดนนี้ หลายครั้งก็แบ่ง ๆ กันกับเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งมีแค่ 10 กว่าคน ห้องโคตรกว้าง อยู่กันแบบหลวม ๆ สบาย ๆ เอาจริงชีวิตช่วง 14 วันแรกนี่ถือว่าดีทีเดียว แทบไม่ต้องทำอะไร ติดตรงที่น่าเบื่อ ไม่ค่อยมีอะไรทำ อยู่แต่ในห้อง มีโอกาสได้เจอแกนนำม็อบอยู่บ้าง เพราะพวกเขาอยู่ห้องตรงข้าม และเวลาทนายมาเยี่ยมก็มีโอกาสได้ไปเจอและพูดคุยทักทายกันก่อนพบทนาย

                    หลังจากกักตัวที่แดน 2 ครบ 14 วัน ผมก็ถูกย้ายไปแดน 1 เพื่อรอจำแนกอีกทีว่าจะได้อยู่แดนไหนแบบยาว ๆ ถ้าคดียังไม่ถูกตัดสินก็มีโอกาสไปที่แดน 1, 4, 6 ถ้าตัดสินแล้วก็ไป 3, 5, 8 ระหว่างอยู่แดน 1 ผมได้เปิดบัญชีในคุก เอาไว้รับเงินที่ฝากมาจากทางครอบครัวและทนาย เพื่อเอาไว้ซื้อของกินของใช้ในสหกรณ์ (ตอนอยู่แดน 2 ยังไม่มี ต้องไปแดน 1 ถึงจะมี) พอซื้อของได้เอง ชีวิตก็เริ่มดีขึ้น แม้ของใช้ส่วนใหญ่จะได้มาจากกลุ่มองค์กรที่ช่วยเหลือซื้อฝากมาให้จนแทบจะครบ ๆ อยู่แล้วก็ตาม แต่การกินแต่อาหารในโรงอาหารของคุกมันก็น่าเบื่อ ได้ซื้ออย่างอื่นกินเองมันก็ดีกว่า แต่เงินที่ฝากมาก็ไม่ได้เยอะ เลยกะว่าจะใช้ประมาณวันละไม่เกิน 100 บาท ซื้ออาหารเที่ยงกับน้ำเปล่าเป็นหลัก น้ำดื่มฟรีในคุกถือว่าเข้าขั้นแย่มาก เป็นน้ำกรองที่คุณภาพต่ำ กินนาน ๆ คอพัง ถ้ามีเงินควรเอาไปซื้อน้ำเปล่าก่อนอันดับแรก วันนึงกิน 2 ขวดใหญ่ (ขวดละ 1.5 ลิตร รวมเป็น 3 ลิตร) กำลังดี ระหว่างอยู่ที่แดนนี้ ผมได้เจอคนที่โดนคดีจากม็อบอยู่ 3 คน ได้คุยกันบ่อย พวกเขาให้คำแนะนำและการช่วยเหลือผมพอสมควร เอาจริงผมค่อนข้างชอบแดนนี้นะ แต่ก็อยู่ได้แค่ประมาณ 4 วันก็ถูกจำแนกไปแดน 6

                    ที่แดน 6 ผมได้เจอชีวิตในคุกของจริง ค่อนข้างเข้มกว่า 2 แดนก่อนหน้า แต่ก็ได้เจอเพื่อน ๆ พี่ ๆ ร่วมแดนที่ดี ทำให้ผ่านชีวิตในคุกไปได้แบบไม่ลำบากเกินไป หลายคนให้คำแนะนำ รวมถึงให้การช่วยเหลือผม แน่นอนว่าผมก็ให้การช่วยเหลือพวกเขาด้วย จะได้อยู่กันไปยาว ๆ แม้บางครั้งอาจมีความเห็นหรืออะไรที่ขัดแย้งกันบ้าง ก็เป็นปกติของการอยู่ร่วมกัน แต่ด้วยความที่โต ๆ กันแล้ว ส่วนมากก็แก่ ๆ กันแล้วด้วย เลยไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ พวกเด็ก ๆ ที่ห้าว ๆ ก็เยอะ แต่ก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร ที่จริงก็เกือบจะมี แต่ก็เคลียร์กันได้ เพราะผมก็ไม่ใช่พวกนักเลง แถมเป็นคดีการเมือง คนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยอยากมีเรื่องด้วยอยู่แล้ว เอาจริงคนส่วนใหญ่ในคุกนี่ถือว่าดีกว่าที่เคยคิดไว้มาก ที่แย่คือการถูกจำกัดอิสรภาพ และต้องโดนบังคับให้ใช้ชีวิตตามรูทีนเดิม ๆ ทุกวัน เลือกอะไรไม่ค่อยได้ รวมถึงสุขอนามัยที่ไม่ค่อยดี

                    ตอนผมอยู่แดน 6 โชคดีที่มีโอกาสได้เล่นกีต้าร์ เลยได้โชว์เพลงตัวเอง ผมเลือกเล่นเพลงที่เพิ่งแต่งเสร็จไม่นานก่อนโดนจับ นั่นคือเพลง "ฉันชอบกินแตงโมที่ไม่มีเม็ด" ปรากฏว่ามันติดหูติดใจคนในแดนที่มีโอกาสได้ฟัง พากันขอเพลงนี้กันบ่อย ๆ ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสเล่น เรียกได้ว่าเป็นเพลงแจ้งเกิดของผมในแดนนี้ นอกจากนี้ในแดนยังมีนักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลงหลายคน ทำให้ผมได้มีโอกาสพูดคุยสนทนาแลกเปลี่ยนไอเดียความคิดต่าง ๆ ในเรื่องดนตรีตลอดการใช้ชีวิตในเรือนจำ ซึ่งสนุกมาก มันทำให้วันเวลาที่อยู่ในนี้ผ่านไปแบบไม่น่าเบื่อเกินไปนัก

                    ในระหว่างที่ผมอยู่ในคุก ผมมีแต่งเพลงใหม่ถึง 3 เพลง คือเพลง "สมเด็จ" ที่พูดถึงระบบชนชั้นภายในคุก คนในคุกจะเรียกผู้ต้องขัง VIP ว่า "สมเด็จ" เป็นคำเรียกเชิงเสียดสี ซึ่งทำให้ผมเกิดความสนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และได้พูดคุยหาข้อมูลเรื่องนี้กับคนในคุกบ่อย ๆ เพื่อเขียนเพลงนี้ โดยเพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ผมได้ไอเดียจากในคุก และตั้งใจว่าจะต้องเขียนให้สำเร็จให้ได้ อีกเพลงคือเพลง "พุธสิ" ที่พูดถึงวันพุธมีโปรโมชั่นโรงหนังลดราคา ร้านอาหารลดราคา แต่ตั้งชื่อเพลงให้มันสองแง่สองง่าม ส่วนอีกเพลงขอไม่เอ่ยชื่อเพลง เพราะมันออกแนวหื่นกามจัญไรเกินไป ชีวิตในคุกก็แบบนี้ หัวข้อสนทนาเรื่องลามกหื่นกามทั้งหลายมักมีขึ้นเสมอ ผมเลยโดนยุให้เขียนเพลงเนื้อหาแบบนี้เพื่อสร้างความสุขให้เพื่อนร่วมแดน และผมก็เขียนมันได้อย่างรวดเร็วจากไอเดียของผู้ต้องขังร่วมแดนในวงสนทนานี่แหละ การแต่งเพลงเขียนเพลงในคุกต้องอาศัยสกิลในการคิดทำนองหรือเมโลดี้ไปพร้อมกับการเขียนเนื้อเพลงให้ได้โดยไม่มีเครื่องดนตรี ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับผม ผมสามารถจินตนาการถึงการใช้คอร์ด สไตล์การเล่น รวมไปถึงดนตรีแบบคร่าว ๆ ในหัวไปพร้อมกันได้เลยด้วยซ้ำ ผมเอาเพลงเหล่านี้ไปเสนอและร้องให้เพื่อนร่วมแดนมาหมดแล้ว รวมถึงเพลงเก่า ๆ ของผมด้วย ยกเว้นเพลงในนามไฟเย็น อันนั้นเสี่ยงเกินไป 55555

                    ทุกครั้งที่มีการยื่นฝากขังทุก ๆ 12 วัน ผมมักจะไม่คัดค้าน อย่างที่เคยบอกไปว่าคัดค้านไปก็เท่านั้น เปล่าประโยชน์ ผมทราบมาว่ามีเพื่อนร่วมอุดมการณ์หลายคนคัดค้าน ซึ่งก็ไม่เป็นผลอะไร ผมเห็นด้วยกับการคัดค้านของพวกเขา แต่ส่วนตัวผมเป็นคนขี้เกียจเสียเวลากับสิ่งที่รู้ผลอยู่แล้ว แต่ในช่วงปลายเดือนเมษายน เกิดการระบาดของเชื้อโควิดภายในเรือนจำ ผมเกิดความกังวลพอสมควร จึงขอคัดค้านฝากขังโดยให้เหตุผลเรื่องสถานการณ์โควิดดังกล่าว และผมยังบอกด้วยว่าที่ผ่านมาผมไม่เคยคัดค้านฝากขังเลย เพราะรู้ว่าคัดค้านไปศาลคงให้ขังผมต่ออยู่ดี เสียเวลา แต่สถานการณ์โควิดในเรือนจำตอนนี้มันอยู่ในระดับที่น่ากังวลมาก ๆ แล้ว ผมจึงต้องคัดค้าน หลังจากศาลรับฟังแล้ว ศาลก็อ้างว่าให้ไปยื่นขอประกันตัว ผมก็บอกศาลว่า ยื่นไปหลายรอบแล้ว ไม่เคยได้รับการประกันตัวเลย ที่จริงผมไม่ควรต้องถูกขังด้วยซ้ำ ให้ผมไปสู้คดีข้างนอกก็ได้ ผมยืนยันว่าจะไม่หลบหนี และจะให้ความร่วมมือเท่าที่สามารถจะให้ได้ ที่ผ่านมาเกือบ 2 เดือนตั้งแต่ถูกจับกุม ผมก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายอย่างดี แต่ท้ายสุดศาลก็ให้ขังผมต่ออยู่ดี แล้วอ้างให้ไปยื่นประกันตัวท่าเดียว ก็เป็นไปตามที่ผมคาดไว้ว่าคัดค้านไปก็เท่านั้น ตอนนั้นคิดแค่ว่าอย่างน้อยศาลอาจเอาเรื่องสถานการณ์โควิดไปพิจารณาในการยื่นประกันครั้งหน้าก็เป็นได้ ถ้าไม่ได้ก็ช่างแม่ง

                    ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ในที่สุดโควิดก็ระบาดมาถึงแดนผมจนได้ หลายคนเริ่มมีอาการกันเรื่อย ๆ ผมเองก็เริ่มไอและเจ็บคอหนัก มีไข้อยู่คืนนึงที่มีอากาศหนาว ในเรือนจำนี่หนาวกว่าที่คิด แม้จะเป็นฤดูร้อน ไม่อยากจินตนาการถึงฤดูหนาวที่ไม่ค่อยจะมีในประเทศไทยเลยว่ามันจะหนาวสะท้านขนาดไหน หลังจากคืนนั้นก็ไม่มีไข้ ผมมีพาราอยู่ 4 เม็ดจากที่บ้านฝากเข้ามาพร้อมยาโรคประจำตัวอื่น ๆ ก็เลยมีโอกาสได้ใช้พอดี กว่าจะได้ตรวจหาเชื้อก็ปาไปวันที่ 10 พฤษภาคม ผลออกวันที่ 11 ปรากฏว่า "ผมติดเชื้อ" เย็นวันนั้นผมได้ถูกย้ายไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์พร้อมกับเพื่อนร่วมแดนอีก 2 คนที่โดนคดีทางการเมืองจากม็อบคนรุ่นใหม่ นั่นคือ "เฮียซ้ง" กับ "ฉลวย" ผมได้นำสิ่งของของผมทั้งหมดหิ้วไปโรงพยาบาลด้วย ส่วนนึงคือเผื่อต้องอยู่ยาว อีกส่วนนึงคือผมทราบจากทนายว่าจะมีการตัดสินประกันตัวผมในวันที่ 12 (ยื่นขอประกันตัวไปแล้ว) ผมก็แอบลุ้นว่าเผื่อได้รับการประกันตัว (ปกติผู้ต้องขังมักจะไม่นำสิ่งของในคุกกลับบ้าน แต่ผมเสียดายของ เลยเอาไปด้วยเกือบทั้งหมด) ตอนนั้นคือยังไม่รู้ข่าวด้วยซ้ำว่า "เพนกวิน" กับ "แอมมี่" ได้ประกันตัวไปแล้ว ไปรู้ทีหลังตอนอยู่โรงพยาบาลแล้วจากข่าวในทีวี ปกติในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯนี่เขาแทบไม่เปิดข่าวแบบนี้ให้เราดูหรอก ถ้ามีขึ้นมาแม่งจะรีบเปลี่ยนช่องหนี จะเปิดแต่ข่าวอวยประยุทธ์กับข่าวสองทุ่มเท่านั้น นอกนั้นจะเน้นเปิดช่อง Mono กับ Workpoint แต่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ คนในห้องสามารถดูช่องไหนก็ได้ มีรีโมทเปลี่ยนเองได้เลย และห้องก็ดีกว่าเรือนจำปกติทุกอย่าง มีห้องน้ำที่ดีกว่า มีพัดลมเยอะกว่า พื้นปูกระเบื้อง ไม่ใช่พื้นปูนโง่ ๆ โล้น ๆ และห้องกว้างกว่า คนในห้องน้อยกว่า ปกติแดน 6 ที่ผมอยู่เนี่ย ห้องนึงอยู่กัน 30-40 คน ยกเว้นช่วงโควิดระบาดในแดน จะมีช่วงสั้น ๆ ที่บางห้องต้องอยู่กัน 50 คน เพราะมีการจำแนกห้องกันใหม่ ช่วงนั้นห้องผมโชคดีสุด เพราะมีคนแค่ 20 กว่าคน ซึ่งเป็นห้องสำหรับคนประเภท "เปราะบาง" นั่นคือผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยจะมีห้องสำหรับกักตัวผู้ที่น่าจะติดโควิดต่างหาก (คาดการณ์จากการวัดอุณหภูมิ และอาการที่เกิดขึ้น) คนเหล่านี้จะถูกห้ามออกจากห้อง เพื่อจะถูกส่งตัวไปยังแดนกักโรคต่อไป ที่กล่าวมานี้คือสถานการณ์ช่วงโควิดระบาดในแดนก่อนที่ผมจะถูกส่งตัวมาโรงพยาบาล

                    วันที่ 12 สรุปคือศาลตัดสินให้ผมได้ประกันตัว ถามว่าเซอร์ไพรส์ไหม ก็ไม่ เพราะผมทราบมาว่าหลายคนได้รับการประกันตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ ผมก็ถือว่ามีโอกาส แต่กว่าผมจะได้ออกจากเรือนจำจริง ๆ คือราว 1 ทุ่ม ซึ่งเลยเวลาที่โรงพยาบาลที่ทางองค์กรที่ช่วยเหลือผมได้ประสานงานจัดไว้ไม่สามารถรับตัวผมได้ ผมจึงต้องไปพักในสถานที่แห่งหนึ่งชั่วคราวก่อน 1 คืน ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลสนามอีกแห่งหนึ่งที่ทางองค์กรประสานงานไว้มารับ ระหว่างนั้นผมได้ขอยืมมือถือจากสมาชิกของทางองค์กรที่ช่วยเหลือมาใช้ชั่วคราวจนกว่าผมจะได้กลับบ้าน ซึ่งก็ประมาณ 10 กว่าวัน ตั้งแต่ผมได้รับมือถือเครื่องนี้มาใช้งานชั่วคราว ก็มีมิตรสหายจำนวนมากโทรมาพูดคุยให้กำลังใจ คืนนั้นผมซึ่งหายไปจากโลกภายนอกถึง 2 เดือนกว่า ก็ตะบี้ตะบันอ่านสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผมอยู่ในเรือนจำ สิ่งแรก ๆ ที่ผมเข้าไปอ่านเลยคือ Facebook "สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" เพื่อจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วง 2 เดือนที่ผมอยู่ในนั้น จากนั้นก็อ่าน Twitter ในแฮชแท็กเกี่ยวกับผม พยายามหาดูข่าวการเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่าผมพลาดอะไรไปเยอะมาก นี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าหลาย ๆ คนที่อยู่ในคุกร่วมหลายเดือนจะพลาดอะไรไปแค่ไหน ต้องกลับมาอัพเดทตัวเองอีกแค่ไหนหลังออกจากคุก

                    ผมขอขอบคุณทุก ๆ คน ทุก ๆ ภาคส่วนที่ให้ความช่วยเหลือผม และมุ่งมั่นต่อสู้เรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบ และความอยุติธรรมทั้งหลายในประเทศนี้ ผมเองก็ยังคงมุ่งมั่นต่อสู้ในจุดยืนเดิมเช่นกัน แม้ร่างกายและข้อจำกัดหลายอย่างอาจทำให้ผมไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่เท่าเมื่อก่อน แต่ก็จะพยายามทำในส่วนที่ผมพอจะทำได้

                    หลังออกจากเรือนจำ วง Risky Drop ก็กลับมารวมวงซ้อมดนตรีกัน เพลงมีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ผมได้นำเอาเพลง "สมเด็จ" ที่แต่งในคุกมาเสนอวง รวมถึงขุดเพลงเก่าสมัยปี 2002 อย่างเพลง "พอ" มาเสนอด้วย ซึ่งเพลงนี้ผมนึกถึงบ่อยครั้งตอนอยู่ในคุก ยอมรับว่าบางทีก็อยากจะ "พอ" กับการเคลื่อนไหวแล้วเหมือนกัน แต่ท้ายสุดชีวิตผมมันก็ "ไม่เคยพอ" กับมันได้อยู่ดี มันก็เป็นแค่ห้วงความคิดและความรู้สึกนึงนั่นแหละ ถ่ายทอดมุมนี้ออกมาบ้างก็ดีเหมือนกัน

                    ก่อนหน้าที่ผมจะถูกจับกุม ผมต้องใช้ชีวิตอย่างปิดลับต่อสาธารณะ ไม่ให้ใครรู้ว่าผมอยู่ในไทย แต่ในเมื่อความจริงเปิดเผยแล้ว ผมก็ได้นำคลิปการซ้อมดนตรีของผมกับวง Risky Drop มาเปิดเผยต่อสาธารณะ การได้รับการประกันตัวครั้งนี้ ศาลมีเงื่อนไขให้ผมจำนวนหนึ่งคือ ห้ามออกนอกประเทศ และห้ามการแสดงความเห็นที่ทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสีย ซึ่งผมมองว่าการพูดเรื่องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ไม่ได้ทำให้สถาบันฯเสื่อมเสีย เพราะ "ปฏิรูป" แปลว่า "ทำให้ดีขึ้น" และด้วยเงื่อนไขนี้ทำให้ผมต้องหันมาพูดและเขียนให้อยู่ในกรอบเพดานกฎหมายของประเทศไทย

                    ปี 2022 ผมมีนัดสืบพยานโจทก์ หลังจากสืบพยานเสร็จ ศาลก็นัดก็ฟังผลการตัดสิน ซึ่งผมถูกตัดสินให้จำคุก 9 ปี คือผิดทั้ง 3 กรรม กรรมละ 3 ปี แต่ให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษเหลือจำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา ในส่วนของการให้การเป็นประโยชน์คือ ผมรับสารภาพว่าผมเป็นคนโพสท์เอง เพจ "Rishadan Port" เป็นเพจของผมเอง ผมเป็นแอดมินคนเดียว แต่ผมสู้คดีในจุดที่ว่า สิ่งที่ผมโพสท์ทั้งหมดไม่เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั่นคือ ผมไม่ได้รับสารภาพว่าผมผิด ผมแค่รับว่าผมเป็นคนทำ จากนั้นก็มีการยื่นประกันตัว ผมก็รอลุ้นผลการตัดสินในห้องขังด้านล่าง โดยมีแม่และมิตรสหายทางการเมืองมาให้กำลังใจ ผมน่ะประเมินแบบ worst case ไว้ก่อนอยู่แล้ว เตรียมพร้อมทุกอย่างสำหรับการเข้าไปในเรือนจำอีกครั้ง แต่ปรากฏว่าผลการตัดสินคือ ผมได้รับการประกันตัว ผมจึงได้สู้คดีต่อในชั้นอุทธรณ์ที่ด้านนอก

                    บอกตรง ๆ ว่า ผมปรับตัวกับการอยู่ในคุกได้แล้ว และอันที่จริงผมเตรียมใจอยู่ยาวตั้งแต่วันแรกที่เข้าคุกแล้ว ผมปลงกับชีวิตตั้งแต่ป่วยแล้ว ผมมีความคิดอยู่บ่อย ๆ ว่า ผมน่าจะตาย ๆ ไปตั้งแต่ตอนป่วยหนัก จะได้จบ ๆ แต่การมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงตอนนี้มันก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นเยอะเหมือนกัน การติดคุกก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่ง และอันที่จริงประเทศไทยมันก็เป็นแค่คุกในสเกลที่ใหญ่กว่าตัวเรือนจำก็เท่านั้น

                    เรือนจำคือคุกเล็ก ประเทศคือคุกใหญ่