วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2564

My Life #11 : Risky Drop

                    หลังจากผมกลับไทยและรักษาตัวจากอาการป่วยจนดีขึ้นในระดับหนึ่ง ในช่วงกลางปี 2019 ผมเริ่มมีอาการปลายประสาทอักเสบ ทำให้นิ้วมือผมมีแรงกดสายกีต้าร์น้อยลง จึงเล่นได้ไม่คล่อง แม้แต่คอร์ดไม่ทาบบางครั้งยังบอด นับประสาอะไรกับคอร์ดทาบ แต่ด้วยความอยากที่จะเล่นมัน ผมก็ฝืนเล่นอยู่บ่อย ๆ โดยมีความเชื่อว่าถ้าเล่นบ่อย ๆ มันคงจะเล่นได้ดีขึ้น มือและนิ้วจะอาการดีขึ้นด้วย ซึ่งมันก็ค่อย ๆ ดีขึ้นจริง ๆ ระหว่างนั้นผมก็ยังคงเขียนเพลงแต่งเพลงอยู่ตลอด และแอบหวังเล็ก ๆ ว่าจะชวนเพื่อนสมัยเรียนกลับมาฟอร์มวงกันอีกครั้ง อย่างน้อยได้เล่นสนุก ๆ กันก็ยังดี ไม่ต้องคิดไปไกลกว่านั้น 

                   วันหนึ่งในเดือนตุลาคม 2019 ผมได้ตัดสินใจชวนวิน มือกลองวง Us เล่น ๆ ว่ากลับมาซ้อมดนตรีสนุก ๆ กันไหม เพราะปกติเวลาผมอยากซ้อมดนตรี ผมมักชวนวินเสมอ ตั้งแต่สมัยวง Us พักวง เนื่องจากโอม มือเบสของวงเลิกเล่นดนตรีแล้ว พอเล่นกันสองคน เราจะเรียกชื่อวงเราว่า "วงเหี้ย" เหตุผลที่ตั้งชื่อวงเช่นนี้คือ พวกเราเล่นกันได้เหี้ยมาก อีกอย่างคือเวลาคนเดินผ่านห้องซ้อม มันคงเกิดคำถามในใจว่า "วงเหี้ยไรวะ" พวกเราจะได้ตอบไปว่า "ก็วงเหี้ยไง สัส" พอผมชวนวิน วินก็บอกไปหามือเบสมา ผมเลยบอกมันไปว่าไม่มี ซ้อมสองคนวงเหี้ยนี่แหละ วินบอกถ้ามีมือเบสค่อยซ้อม ผมเลยตัดสินใจลองไปชวนต้น มือเบสวง LS20 ดู เพราะไม่รู้จะชวนใคร อีกอย่างคือต้นก็เคยเล่นกับผมและวินมาก่อน สมัยที่อัดเดโมวง Us เมื่อปี 2007 ทีแรกก็ทำใจไว้แล้วว่าคงปฏิเสธแน่ เพราะสมัยกลับมาฟอร์มวง LS20 เมื่อปี 2012 มีผมกับอ้น มือกลองของวง ที่กระตือรือล้นอยากซ้อมมาก แต่ต้นปฏิเสธตลอด หลังจากนั้นผมก็เริ่มมีงานแสดงดนตรีประจำทั้งกับวงทับทิมสยามจนถึงวงไฟเย็น ทุกอย่างจึงจบลง แต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์ผมสุด ๆ คือ ต้นตอบตกลง แต่ขอเวลาแกะเพลงเดือนนึง จึงสรุปวันนัดซ้อมกันเป็นวันที่ 16 พฤศจิกายน นับเป็นระยะเวลากว่า 12 ปี นับจากปี 2007 ที่พวกเราวง Us ไลน์อัพที่อัดเดโมเพลงวงได้กลับมาฟอร์มวงกันอีกครั้ง 

                   การรียูเนี่ยนครั้งแรกในรอบ 12 ปี ทำให้ทุกคนต้องนั่งเคาะสนิมกันใหม่หมด ทุกอย่างล้วนเละเทะตามคาด ส่วนมากเล่นเพลงของคนอื่นทั่วไป เพราะเพลงวงมีอยู่ 3 เพลงคือ เปิดใจ, โลดแล่น, และ แสงจันทร์แห่งรัตติกาล มีเล่นเพลง "ถ้าเธอไม่เข้ามาในชีวิต" ของ LS20 ด้วย นอกจากนั้นยังเล่นเพลงใหม่ที่ผมแต่งด้วย นั่นคือเพลง "ผมจำเป็นต้องเก็บไว้ก่อน" ที่ผมได้แรงบันดาลใจจากโพสหนึ่งของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล 

                   หลังจากการซ้อมครั้งนั้น เราได้คุยกันว่าจะกลับมาซ้อมกันจริงจัง แต่งเพลงทำเพลงใหม่ ๆ ถ้าจำนวนมากพอก็จะวางแผนอัดเพลงทำอัลบั้ม ทีแรกทิศทางเพลงยังไม่คิดว่าจะไปทางการเมือง แต่เนื่องจากการเมืองในช่วงนั้นเริ่มคุกรุ่น ประกอบกับสมาชิกวงเองก็อยากพูด แต่ไม่อยากให้เพดานไปถึงระดับวงไฟเย็น จึงพยายามจำกัดกรอบในการแตะการเมืองพอสมควรว่าเอาแค่ระดับที่ไม่เสี่ยง 

                   การซ้อมครั้งต่อ ๆ มา ผมได้นำเสนอเพลงที่ผมแต่งในช่วงธันวาคม คือเพลง "ตราบที่ฉันยังมีลมหายใจ" ซึ่งบรรยายถึงความรู้สึกของผมทั้งหมดในช่วงชีวิตที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ โดยเพลงนี้ผมได้คิดทางคอร์ดและดนตรีคร่าวๆไว้หลายปีแล้ว แต่เขียนเนื้อให้มันไม่ได้สักที ส่วนวินก็ได้นำเสนอเนื้อเพลงของเขาเช่นกัน ที่จริงวินนำเสนอมาหลายอันมาก แต่ส่วนใหญ่ดูไม่เข้าท่า จนกระทั่งเพลง "ตื่นสาย" ซึ่งมีเนื้อเพลงที่ดูเข้าท่าจนน่านำไปแต่งต่อ ผมนำเนื้อเพลงดังกล่าวมาเกลาและเขียนเนื้อเพิ่มเติมรวมถึงใส่ทำนองให้มัน ส่วนทางคอร์ดและ riff ผมได้แต่งไว้เป็นสิบปีแล้ว แต่หาทางลงให้มันไม่ได้ ก็เลยถือโอกาสนำมาใช้กับเพลงนี้ซะเลย จากนั้นผมกับต้นช่วยกันเขียนท่อน verse 2 จนเสร็จ เพลงนี้จึงนับว่าเป็นเพลงที่สมาชิกวงทุกคนร่วมกันแต่งจริงๆ

                   ช่วงต้นปีถึงกลางปี 2020 เป็นช่วงที่มีมาตรการล็อคดาวน์เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ของรัฐบาล ทำให้เราต้องพักการซ้อมดนตรีไปชั่วคราว จึงทำให้มีเวลาเขียนเพลงแต่งเพลงเพิ่ม ผลพวงจากเพลงตื่นสายทำให้ต้นจากที่ไม่คิดจะเขียนเพลงแต่งเพลงก็หันมาเขียนเพลงกับเขาอย่างจริงจัง ต้นได้เขียนเพลงและนำเนื้อเพลงมานำเสนอ โดยเขียนจากชีวิตจริงของตัวเขาเองที่ต้องเดินทางจากจังหวัดปริมณฑลเข้าไปทำงานในเขตเมืองในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นวัฏจักรชีวิตที่น่าเบื่อ ผมเห็นทีแรกคิดว่าเป็นแนว metal สำรอก หรือพวก rap metal แต่ต้นบอกว่าอยากให้เป็น punk ผมเลยแต่งทำนองดนตรีเป็นแบบ pop punk สนุกๆ พร้อมนำเนื้อมาเกลาและเขียนเพิ่มในส่วนของ verse สุดท้ายที่ชี้ไปถึงปัญหาว่ามาจากการไม่กระจายอำนาจ และท่อน chorus ชื่อเพลงทีแรกต้นตั้งชื่อว่า "คนเมือง" ผมได้เปลี่ยนเป็น "ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว" เพื่อเสียดสี 

                   ในช่วงเวลาดังกล่าว ผมได้นำเสนอเพลงเก่าที่ผมเคยเขียนไว้เมื่อปี 2008 ให้กับวง นั่นคือเพลง "บทเพลง" เพราะช่วงนั้นผมคิด riff กีต้าร์ขึ้นมาได้ แล้วมันไปได้กับเพลงนี้ ผมจึงนำมาเสนอวง ซึ่งนับเป็นเพลงที่มีโทนดนตรีที่ต่างจากเพลงอื่น ๆ ที่ผ่านมาของวงอยู่ประมาณนึง โดยเนื้อหาเป็นการเสียดสีอุตสาหกรรมเพลงที่เน้นแต่ผลิตเพลงเพื่อการพาณิชย์ นอกจากนั้นผมได้เสนอให้เปลี่ยนชื่อวง เพราะชื่อเดิมมันไม่เวิร์ค สมาชิกแต่ละคนจึงคิดชื่อมาเสนอกัน ผมด้วยความที่คิดแต่เรื่องการเมืองจึงเสนอแต่ชื่อเสี่ยง ๆ วินจึงเกิดไอเดียและเสนอชื่อ "riskdrop" ขึ้นมา ทุกคนเห็นตรงกันว่าเจ๋ง แต่ผมเสนอว่าให้แก้นิดนึงเป็น "Risky Drop" จะตรงกว่า เพราะต่อให้เราลดความเสี่ยงแค่ไหนมันก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี เหตุผลที่เปลี่ยนชื่อวงอีกอย่างหนึ่งคือ ให้ชื่อวง Us ได้เป็นของสมาชิกดั้งเดิมดีกว่า

                   หลังจากหมดมาตรการล็อคดาวน์ เราก็กลับมาซ้อมดนตรีกันอย่างต่อเนื่อง โดยมีเพลงที่นำมาซ้อมมาทำให้เป็นรูปเป็นร่างมากถึง 8 เพลง ซึ่งเข้าใกล้ความเป็นอัลบั้มขึ้นทุกที ต่อมาผมได้เริ่มวางแผนที่จะนำเงินเก็บไปซื้ออุปกรณ์ที่จะนำไปผลิตเพลงโดยเริ่มจากกีต้าร์ไฟฟ้าและเอฟเฟคที่ผมควรจะต้องมีเพื่อไปทำการแสดงสดด้วย หลังจากที่แต่ของห้องซ้อมมานาน ส่วนอุปกรณ์เดิม ๆ ของผมถูกทิ้งไว้ที่ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้นำกลับมาด้วย ซึ่งเสียดายเหมือนกัน

                   ช่วงเดือนกรกฎาคมผมได้ลองหัดใช้โปรแกรมทำเพลงหรือที่เรียกกันว่า DAW โดยทำไป 17 เพลงในเวลา 17 วัน ส่วนมากเป็นเพลงเก่าที่เคยแต่งไว้ รวมถึงเพลงของวงด้วย แต่ทำในเวอร์ชั่นที่ต่างออกไปจากเดิม ถือเป็นการทดลอง ซึ่งได้ปล่อยสู่สาธารณะในนาม RSDP ในเดือนเดียวกันนั้นเอง แม้มันจะโคตรกาก แต่ผมก็โอเคกับมัน และถือว่าได้ลอง ระหว่างนั้นผมได้แต่งเพลงที่เป็นดนตรีไม่มีเนื้อร้องเอาไว้เพื่อเป็นเพลงเปิดการแสดง ชื่อเพลงว่า "Awakening" เหมือนเป็นการปลุกคนดูคนฟัง และยังสอดคล้องกับเพลงต่าง ๆ ของวงอีกด้วย

                   ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง การเมืองไทยก็เริ่มกลับมาร้อนแรง นับตั้งแต่การยุบพรรคอนาคตใหม่ตอนต้นปี ในเดือนกรกฎาคมมีการชุมนุมของม็อบเยาวชนปลดแอกขับไล่รัฐบาลประยุทธ์ และต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความเป็นประชาธิปไตย ต่อมาเดือนสิงหาคมมีการชุมนุมแฮรี่พอตเตอร์ โดยไฮไลท์อยู่ที่การปราศรัยในประเด็นปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ของ "อานนท์ นำภา" ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน อันนำไปสู่การประกาศข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อของกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม จนกลายเป็นข้อเรียกร้องหลัก 3 ข้อของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในนาม "ราษฎร" อันได้แก่ ประยุทธ์ลาออก, ร่างรัฐธรรมนูญใหม่, และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในช่วงนั้นผมได้เสนอเพลงเก่าของผมเพลงหนึ่งให้ทางวง นั่นคือเพลง "ฝุ่นละออง" ซึ่งได้เขียนไว้ตั้งแต่พฤศจิกายน 2016 เพลงนี้นับว่าเป็นเพลงที่พูดถึงความรักเพลงเดียวของวง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเพลงการเมืองที่ไปถึงเพดานระดับสูงสุดของวงด้วยเช่นกัน

                   เราแทบจะซ้อมกันทุกเดือน เดือนละครั้ง นับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา จะมีแค่ช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมที่ไม่ได้ซ้อมเนื่องจากมาตรการล็อคดาวน์ มีเดือนตุลาคมที่ซ้อม 2 ครั้ง คือต้นเดือนกับปลายเดือน ซึ่งผมก็ได้ตัดสินใจซื้อกีต้าร์ไฟฟ้าในเดือนนี้นี่แหละ เป็น G&L Comanche

                   ช่วงปลายเดือนวงเรามีโอกาสไปงานวงไอดอลสาว ๆ บ้างนิดหน่อย ผมป้ายยาให้สมาชิกวงบ่อยจนหลวมตัวเข้าวงการเสพไอดอลกันทั้งวง วินน่ะชอบอยู่แล้ว เพราะเป็นสายญี่ปุ่นตัวยง ส่วนต้นนี่ไม่เคยสนใจมาก่อนจนกระทั่งโดนวง Fever ตกในงานที่สยามสแควร์เมื่อปลายปี 2019 

                   ต้นเดือนพฤศจิกายน ผมได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์และความรู้สึกที่วินเผชิญในช่วงนั้น จึงเกิดเป็นเพลง "ไม่มีอยู่จริง" ซึ่งต้นเรื่องมาจากเหตุการณ์ที่ค่อนข้างไร้สาระ แต่ก็ทำให้วงเรามีเพลงใหม่เพิ่มขึ้น 1 เพลง (เอาไว้แซววิน) เนื้อหาของเพลงพูดถึงความฝันความหวังที่เกิดจากการมโนไปเอง นอกจากนั้นผมยังเขียน fan song ให้กับ "ไอซ์" สมาชิกวง Siam☆Dream ชื่อเพลง "น้ำแข็ง" โดยผมมีชุดทางคอร์ดและดนตรีที่แต่งทิ้งไว้สักระยะหนึ่งแล้ว ต่อมาวินได้ลองเขียนเนื้อเพลงมานำเสนอ ผมก็พอสนใจอยู่บ้าง แต่จับมาใส่กับดนตรีชุดนี้แล้วเขียนเนื้อเพิ่มยังไงก็ยังไม่โอเค ท้ายสุดจึงโละทิ้ง แล้วเขียนเนื้อใหม่เป็นเพลงน้ำแข็งนี่แหละ แรกสุดได้ท่อน chorus ก่อน ตอนนั้นยังไม่คิดว่าจะเป็น fan song และยังไม่มีชื่อ พอเริ่มจะเขียนท่อน verse จึงได้ไอเดียว่าเขียนให้ไอซ์ดีกว่า เพราะเธอมีความทะเยอทะยานและให้อารมณ์ร้อนแรงเหมือนดนตรีเพลงนี้ดี จึงได้เป็น "เยือกเย็นดุจดั่งน้ำแข็ง ร้อนแรงดั่งเพลิงนภา" เข้ากับ catchphrase ของเธอพอดีที่ว่า "สีแดงร้อนแรงเหมือนใจไอซ์เลย" 

                   ผมวางแผนว่าจะเริ่มซื้ออุปกรณ์บันทึกเสียงอย่างพวก audio interface, ไมโครโฟน และอื่น ๆ เพื่อทำการบันทึกเสียงงานอัลบั้มของวงในช่วงต้นปี 2021 เพราะในตอนนี้มีจำนวนเพลงมากพอจะรวมเป็นอัลบั้มแล้ว ชื่ออัลบั้มก็คิดไว้แล้ว และอาจจะมีแยกเพลงเป็น single หรือ EP ด้วย 

                   ช่วงต้นปี 2021 ผมมีเขียนเพลงใหม่อีก 1 เพลง คือเพลง "ฉันชอบกินแตงโมที่ไม่มีเม็ด" โดยส่วนของดนตรีจะแอบหยิบเอาเพลงตื่นสายมาดัดแปลงนิดหน่อย จึงมีความคล้ายกันอยู่พอสมควร ในส่วนของเนื้อเพลงได้แรงบันดาลใจจากตอนนั่งกินองุ่นที่มีเม็ดแล้วผมรู้สึกรำคาญ กินไม่สะดวก ทำให้ผมคิดไปถึงผลไม้ที่จริง ๆ แล้วผมชอบรสชาติมัน แต่ปัญหาคือเม็ดมันเยอะ ผมขี้เกียจแคะ บางทีแคะจนนึกว่าหมดแล้ว กินเข้าไปกัดโดนเม็ดเต็ม ๆ ช้ำใจมาก หลายครั้งผมจึงปฏิเสธจะกินมัน คนก็จะคิดว่าผมไม่ชอบ จริง ๆ ผมชอบถ้ามันไม่เม็ด ซึ่งผมมองว่ามันเปรียบเปรยเปรียบเทียบกับเรื่องอื่น ๆ ในสังคมได้อย่างน่าสนใจ จึงนำมาเขียนจนเสร็จแล้วนำไปเสนอวง ซึ่งวงเองก็ชอบ เราได้นำเพลงนี้ไปซ้อมครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ และเพลงนี้ก็จะเป็น 1 ในเพลงที่จะอยู่ในอัลบั้มของวงที่กำลังจะทำกันอย่างแน่นอน

                   แต่แล้วสิ่งที่ผมกังวลมาตลอดตั้งแต่กลับไทย แต่ก็ชะล่าใจมาได้สักพักใหญ่ มันก็เกิดขึ้นกับผมโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ทำให้แผนการทุกอย่างพังลง เช้าวันที่ 5 มีนาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาจับกุมผมที่บ้านพร้อมหมายจับและหมายค้น โดยกล่าวหาว่าผมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพรบ.คอมพิวเตอร์ จากโพส Facebook เมื่อปี 2016