วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2563

My Life #10 : ชีวิตหลังความเจ็บป่วย

                   ผมพร้อมตายตั้งแต่กลับเข้าไทยแล้ว ไม่สิ ตั้งแต่ผมป่วยหนักวันแรก ๆ แล้วต่างหาก ช่วงใกล้คริสต์มาสปี 2018 หลังจากเข้ารักษาที่โรงพยาบาลในประเทศเพื่อนบ้าน หมอที่นั่นบอกว่าผมอาการหนักมาก ต้องผ่าตัด และไม่มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ดีเท่าไทย หมอให้ผมตัดสินใจว่าจะไปรักษาต่อที่ไทยหรือจะรักษาที่นี่ ซึ่งหมอบอกว่าถ้าตัดสินใจรักษาที่นี่ พวกเขาจะรักษาผมให้ดีที่สุดจนสุดทางที่สามารถทำได้ แน่นอนผมแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดในการตัดสินใจครั้งนี้เลย คำตอบคือ "กลับไทย" เท่านั้น เพราะดูจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ของที่นี่แล้ว ผมไม่มีความมั่นใจที่จะฝากชีวิตไว้ได้เลย หลังจากกลับไทยด้วยวิธีพิเศษ ผมก็ใช้ชีวิตแบบตระหนักถึงความเสี่ยงตลอดเวลาว่าจะต้องถูกจับ นับจากวินาทีที่ผมกลับมาเหยียบผืนแผ่นดินไทยในครั้งนี้ ผมจึงใช้ชีวิตแบบพร้อมตายตลอดเวลา

                   เทคโนโลยีและการวินิจฉัยของหมอไทยต่างกับหมอประเทศเพื่อนบ้านโดยสิ้นเชิง ผมตัดสินใจถูกที่ย้ายมาทำการรักษาที่ไทย ไม่งั้นผมคงจะไม่รอดแน่ หมอวินิจฉัยว่าผมป่วยเป็นโรคตับอ่อนอักเสบรุนแรง เนื้อตับอ่อนบางส่วนเน่าตายไปแล้ว ผมต้องทนทรมานอย่างมากเป็นเวลาหลายเดือนกับการต้องอยู่ในสภาพของความเจ็บป่วยจากโรคที่เป็นและรักษาอยู่ ช่วงแรกผมแทบนอนไม่ได้ ต้องพึ่งมอร์ฟีนแบบฉีดเข้าเส้นตลอดเวลา มอร์ฟีนแทบจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาเลวร้ายนั้นไปได้แบบวันต่อวัน มันทำให้ผมสามารถพักผ่อนนอนหลับและปราศจากความทรมานไปได้ครั้งละประมาณ 2 ชั่วโมง วันละ 3-4 ครั้ง พออาการปวดท้องเริ่มดีขึ้น หมอก็ให้เปลี่ยนมาเป็นยาแก้ปวดแบบกินแทน

                   ภาวะหดหู่ทางจิตใจเนื่องด้วยสาเหตุต่าง ๆ ประกอบกับผลข้างเคียงของยา ทำให้ผมเกิดภาวะเบื่ออาหาร นานวันเข้าด้วยผลข้างเคียงของยาบางตัว ทำให้ผมคลื่นไส้อาเจียนแทบทุกวัน เกิดโรคแทรกซ้อนในทางเดินอาหาร โดยเฉพาะในส่วนของกระเพาะอาหาร เกิดภาวะกรดไหลย้อน น้ำลายเต็มปากต้องบ้วนทิ้งตลอดเวลา ผมเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยมาก ถ้าเฉพาะนับเวลาที่ต้องนอนในโรงพยาบาลก็มากกว่า 1 เดือน โดยนอนติดกันนานสุดคือ 20 กว่าวัน นอกนั้นก็ครั้งละไม่กี่วัน พออาการดีขึ้นหมอก็ให้กลับได้ บางครั้งอาการหนักต้องเดินทางไปในเวลากลางดึกเข้าห้องฉุกเฉินก็มี หมอจะให้ยาและนอนพักในห้องฉุกเฉินสักระยะก็ให้กลับบ้านได้

                   กลางปี 2019 อาการป่วยของผมดีขึ้นมากในส่วนของทางเดินอาหาร จะมีเพิ่มเติมก็ตรงอาการมือเท้าชา หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคเส้นประสาทส่วนปลายอักเสบ ซึ่งเกี่ยวเนื่องจากโรคตับอ่อนอักเสบเดิม จึงให้ยารักษาตรงจุดนี้มา กินไปได้เดือนกว่า ๆ ไม่ดีขึ้น หมอจึงเพิ่มโด๊ส และล่าสุดหมอที่อีกโรงพยาบาลหนึ่งที่รักษาประจำก็แนะนำยาอีกตัวเพิ่มให้ด้วย จึงได้ลองกิน รอดูอาการอีกสัก 2-3 เดือน หากไม่ดีขึ้นคงต้องใช้วิธีอื่น หมอจ่ายยาเกี่ยวกับทางเดินอาหารน้อยลง เหลือแค่ตัวหลัก ๆ แค่ 2 ตัว กินอาหารได้มากขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณที่ดี จากที่เคยลงไปต่ำสุดที่ 50 กิโลกรัมจาก 85 กิโลกรัมช่วงก่อนป่วย (ผมเคยน้ำหนักสูงสุดในชีวิตที่ 105 กิโลกรัม) ผมคาดหวังอยากให้อาการมือเท้าชาหายเป็นปกติ ผมจะได้สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้เป็นปกติกว่านี้ และน่าจะพอช่วยเหลือตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนรอบข้างมากนัก

                   ผมพร้อมตายตั้งแต่กลับเข้าไทยแล้ว หลังจากเข้าไทยผมก็ใช้ชีวิตแบบพร้อมตายมาตลอด ผมเผยแพร่สิ่งที่อยากพูดหรืออยากเล่าลง social media ไปแล้ว น่าจะไปย้อนอ่านได้ไม่ยาก ในส่วนของเพลงก็เผยแพร่ไปหมดแล้วเท่าที่อยากเผยแพร่ ส่วนใหญ่จะเผยแพร่เป็นเดโมดิบ ๆ ส่วนแบบสตูดิโอมาสเตอร์ดี ๆ ก็ทำไปส่วนหนึ่งแล้วทั้งในนามวง และในนามส่วนตัว บางส่วนบันทึกเสียงแบบสตูดิโอไว้แต่ไม่ได้ทำต่อให้เสร็จก็มี ถือว่าได้ทำไปแล้ว อุดมการณ์ความคิดของผมที่ต้องการส่งต่อเพื่อให้สังคมได้นำไปต่อยอดก็ได้สื่อผ่านบทเพลงและโพสต่าง ๆ ใน social media ไปแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับคนที่ได้อ่านและรับฟัง

                   คนเราเกิดมามีชีวิตเดียว หากไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากใช้ก็คงรู้สึกเสียดาย ผมให้คำตอบกับตัวเองได้แล้วตั้งแต่เข้ามาเหยียบบนเส้นทางสายนี้ว่านี่แหละคือชีวิตของผม ผมจะทำมันอย่างเต็มที่ที่สุด เอาแบบถึงตายก็ตายตาหลับ ไม่มีอะไรติดค้างกับตัวเองอีกต่อไป สิ่งที่ผมอยากทำส่วนใหญ่ก็ได้ทำไปแล้ว ส่วนจะสำเร็จตามหวังหรือไม่ มันเป็นเรื่องรอง เพราะยังไงความผิดหวังมักมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าสมหวังเสมอ โดยเฉพาะเรื่องความรัก นี่อาจเป็นเพียงเรื่องเดียวที่ผมหันหลังให้กับมันมาอย่างยาวนาน โลกนี้มีเพลงอกหักมากกว่าเพลงสมหวัง ก็เพราะคนผิดหวังมีมากกว่าคนสมหวัง และเพราะอย่างนั้นเพลงเหล่านี้ถึงได้เป็นที่นิยมกว่า

                   สิ่งที่ดีที่สุดหลังจากที่ได้กลับไทยอีกครั้ง คงเป็นการได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว ได้กินอาหารที่อยากกิน แม้ช่วงที่ป่วยระยะแรก ๆ จะไม่ได้กินในสิ่งที่อยากกินก็ตาม เนื่องจากร่างกายมันไม่รับ (และหมอก็ห้ามอีกด้วย) ได้เล่นดนตรีกับวงสมัยเรียน ได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนสนิทมิตรสหายที่คุ้นเคย แม้จะไม่กี่คน เพราะยังต้องปกปิดการที่ต้องอยู่ไทย ที่สำคัญคือได้จับมือและพูดคุยกับสมาชิก BNK48 ที่โอชิ นี่คงเพียงพอแล้วหากต้องเผชิญหน้ากับความตายเมื่อวันนั้นมาถึง

                   มีมิตรสหายหลายท่านพยายามช่วยเหลือและผลักดันให้ผมทำเรื่องลี้ภัยไปต่างประเทศด้วยกันกับสมาชิกวงคนอื่น ๆ แต่ช่วงแรก ๆ ที่ผมป่วยหนัก ผมจึงปฏิเสธไป ตอนหลังอาการเริ่มดีขึ้น มิตรสหายยังคงถามว่ายังต้องการอยู่ไหม ผมก็ยื่นความต้องการไป แต่พอร่างกายมันไม่หายดีเสียที ทำให้ยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ลำบาก การเดินทางไกลจึงต้องการคนที่คอยเป็นบัดดี้ ประกอบกับความติดขัดในการดำเนินเรื่องหลายอย่าง ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าไปแล้วจะเอาตัวรอดในประเทศปลายทางได้หรือเปล่าด้วยสภาพร่างกายแบบที่เป็นอยู่นี้ จึงทำให้ผมตัดสินใจบอกมิตรสหายทุกคนที่ช่วยเหลือผมว่าผมขอหยุดในส่วนนี้ไปก่อน 

                   อันที่จริงแล้วตอนนั้นผมได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ลี้ภัย และจะใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศไทยนี่แหละ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ชีวิตหลังความเจ็บป่วยภายใต้ประเทศเผด็จการที่ผมมีโอกาสถูกสำเร็จโทษจากผู้มีอำนาจรัฐตลอดเวลาแบบนี้ มันทำให้ผมไม่รู้สึกอยากมีชีวิต และไม่รู้สึกว่าจะมีชีวิตได้ยืนยาวเท่าไหร่อยู่แล้ว ทุกวันนี้แค่ใช้ชีวิตให้มันผ่านไปได้วันต่อวัน ยังสามารถทำในสิ่งที่ชอบไปได้เรื่อย ๆ ก็นับว่าดีแล้ว

                   ล่าสุดหมอที่เชี่ยวชาญด้านโรคปลายประสาทโดยตรงได้ออกมาเปิดเผยความจริงกับผมว่า โรคที่ผมเป็นอยู่นี้จะไม่มีวันหาย ยาที่ให้กินนั้นเพียงเพื่อไม่ให้อาการแย่ลง และการที่ให้ผมออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพียงเพื่อให้สามารถเดินเหินใช้ชีวิตได้คล่องตัวขึ้นเท่านั้น แต่จะให้กลับมาเป็นปกตินั้นแทบเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับตับอ่อนส่วนที่ตายไปแล้ว หมอที่ดูแลด้านตับอ่อนก็บอกว่ามันไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ทำได้เพียงประคองไม่ให้อาการกลับมากำเริบเท่านั้น