วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

My Life #0.2 : วัยเด็ก

                   ผมเกิดที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ สมัยนั้นครอบครัวอาศัยอยู่ย่านสุรวงศ์ ตอนที่ผมเริ่มจำความได้ ผมก็ย้ายมาอาศัยอยู่ที่ย่านอุดมสุขแล้ว ด้วยความที่ผมเป็นหลานชายคนแรกของอากง อากงจึงรักผมมาก สมัยเด็กผมอยู่บ้านอากงพอ ๆ กับอยู่บ้านพ่อแม่ และผมก็ติดอากงมาก ๆ ขนาดโรงเรียนยังไม่อยากไปเลย อยากอยู่กับอากงมากกว่า ดีใจทุกครั้งที่ได้ไปบ้านอากงสัปดาห์ละครั้ง

                   สมัยเด็กผมค่อนข้างเป็นเด็กที่ซนมาก ด้านการเรียนถือว่าพอใช้ได้ สิ่งที่ชอบที่สุดในสมัยนั้นคือการได้ดูการ์ตูนอนิเมชั่นทางทีวี ยุคนั้นการ์ตูนที่เรียกได้ว่าเป็นที่นิยมที่สุดคือ “ดราก้อนบอล” เรียกได้ว่าแทบไม่มีเด็กผู้ชายคนไหนที่ไม่รู้จักการ์ตูนเรื่องนี้ นอกจากในรูปแบบอนิเมชั่นแล้ว เด็กยุคนั้นต้องไม่พลาดที่จะติดตามตอนใหม่ล่าสุดทางหนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์ หรือเช่าวิดิโอม้วนล่าสุดมาดูอัพเดทเพื่อที่จะสามารถไปคุยโม้โอ้อวดกันในกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียนได้ นอกจากนั้นการ์ดพลังดราก้อนบอลที่แถมจากขนมโอเดงย่า หรือรูปแบบการ์ดกลมจากขนมคัมคัม หรือสติ๊กเกอร์ที่แถมจากขนมโดเรม่อน ก็เป็นที่นิยมอย่างมาก และผมก็ไม่พลาดที่จะเจียดเงินค่าขนมเพื่อซื้อมาสะสม แต่ของสะสมเหล่านั้นก็หายไปหมดแล้ว นอกจากดราก้อนบอล ผมยังดูการ์ตูนอีกหลายเรื่อง ทั้งรูปแบบหนังสือและอนิเมชั่น ส่วนใหญ่เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น เช่น โดราเอม่อน, รันม่า 1/2, นินจารันทาโร่ ฯลฯ ส่วนมากจะติดตามจากช่องฟรีทีวี หรือไม่ก็เช่าวิดิโอมาดู การ์ตูนฝรั่งก็ดูบ้าง เช่น Tom & Jerry, Looney Toons, และพวกการ์ตูนจากช่อง Cartoon Network สมัยนั้นจะมี Top Cat, Flintstones, Scooby-Doo ฯลฯ ส่วนการ์ตูนไทยยุคนั้นต้องขายหัวเราะ-มหาสนุก และการ์ตูนรวมเล่มอื่น ๆ ในเครือบรรลือสาส์น ไม่ว่าจะเป็น ไอ้ตัวเล็ก, คนอลเวง, กระบี่หยามยุทธภพ, สาวดอกไม้กับนายกล้วยไข่ ฯลฯ

                   นอกจากการ์ตูนแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ “เกม” ซึ่งผมจะไปเล่นเกมที่ร้านเกมหน้าปากซอยเป็นประจำ ในสมัยนั้นเครื่องเกมใหม่ล่าสุด คือ Super Nintendo Entertainment System (SNES) หรือ Super Famicom ค่าเล่นนาทีละ 1 บาท แพงมาก ๆ เมื่อเทียบกับอาหารตามสั่งที่มีราคาเริ่มต้นที่จานละ 10 บาท ด้วยความที่อยากเล่นนาน ๆ ผมจึงเลือกที่จะเล่นเครื่องเกม Famicom (8 bits) ที่ตกรุ่นแล้ว เพราะค่าเล่นชั่วโมงละ 15 บาท ถูกกว่าเยอะ หลังจากเล่นร้านเกมไปได้ไม่กี่ปี ผมก็ขอพ่อแม่ซื้อ Super Famicom จนได้ แต่ตลับเกมช่วงนั้นราคาสูงหลายร้อยบาท จึงต้องเลือกซื้อเฉพาะเกมที่ชอบจริงๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีออก “หัวโปร” มาขาย และเกมจะเป็นรูปแบบแผ่น floppy disk แผ่นละ 15 บาท (แต่หัวโปรราคาหลายพันบาท) เสียดายที่เกมที่ผมชอบๆ ผมซื้อแบบตลับเกมมาเล่นจนครบซะก่อนแล้ว จึงไม่ได้ซื้อหัวโปร ผมไม่ใช่คนที่ชอบเล่นเกมหลากหลาย จะเล่นอยู่ไม่กี่เกมซ้ำ ๆ เกมที่ชอบที่สุดคือ พวกตระกูล “Super Mario” อันนี้ผมมีครบทุกภาคเลย ภาคที่ชอบที่สุดคือ "Super Mario World" เล่นเคลียร์แล้วเคลียร์อีกก็ยังสนุก ทั้งเคลียร์แบบเก็บครบทุกด่าน ทุกทางลับ และเคลียร์แบบ speed run (จบในเวลาที่สั้นที่สุด) ต่อมาไม่นาน Play Station ก็วางขาย ซึ่งบ้านผมไม่ได้ซื้อ ถ้าอยากเล่นต้องไปเล่นร้านเกม หรือไม่ก็บ้านอากง หลายครั้งผมจะชอบนัดเพื่อนไปเล่นพวกเกมแนวต่อสู้ตัวต่อตัวอย่างพวก King of Fighter, Street Fighter, Marvel V.S. Capcom อะไรพวกนี้ที่ร้านเกม บางทีก็ไปเล่นบ้านเพื่อน สำหรับเกมประเภท “เกมตู้” นี่ผมไม่นิยมเล่น เพราะเคยเล่นแล้วไม่กี่เกมก็แพ้ รู้สึกไม่คุ้ม เพราะเล่นไม่เก่ง สำหรับคนที่เล่นเก่ง ๆ นี่คุ้มมาก ๆ หยอด 5-10 บาท เล่นได้จนเคลียร์

                   ในวัยเด็กผมแทบไม่ฟังเพลงตามสมัยนิยมเท่าไหร่ สนใจแต่การ์ตูนกับเกม ผมหัดวาดการ์ตูนแก๊กโดยมีขายหัวเราะเป็นแรงบันดาลใจ และใช้นามปากกาว่า “ต่าย” เลียนแบบนักเขียนที่ชื่นชอบที่สุด ในช่วงประถมมีเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งชื่อ “เต้” ได้ทำโปรเจคการ์ตูนแก๊กแบบขายหัวเราะขึ้นมา และเสนอให้เพื่อน ๆ วาดการ์ตูนมาส่งโดยมีค่าจ้างให้ จากนั้นก็รวมเล่มขายในหมู่เพื่อน แรก ๆ เพื่อนหลายคนก็สนใจ แต่พอเวลาผ่านไป คนที่ยังวาดแบบจริง ๆ จัง ๆ เหลืออยู่ 3 คนคือ ผม, เต้, และป๊อป ภายหลังจึงเลิกทำการ์ตูนแก๊ก หันไปวาดการ์ตูนเรื่องสั้น เรื่องยาว สนอง need ตัวเองแทน ซึ่งหลาย ๆ เรื่องที่วาดเรียกได้ว่าก็อปไอเดียการ์ตูนญี่ปุ่นรวมถึงเกมที่ชื่นชอบ เช่น คินดะอิจิกับคดีฆาตกรรมปริศนา, Super Mario, Street Fighter เป็นต้น มีน้อยเรื่องมาก ๆ ที่มาจากไอเดียของตัวเองจริง ๆ

                   ผลงานสร้างชื่ออย่างแท้จริงในกลุ่มเพื่อนน่าจะเป็นการ์ตูนเรื่อง “Amazing Teenager” เป็นการ์ตูนแนววัยรุ่นในโรงเรียนมัธยม ใช้ยูนิฟอร์มแบบนักเรียนญี่ปุ่น แต่ชื่อตัวละครเป็นภาษาไทย เขียนในสมัยมัธยมต้น ตัวเอกของเรื่องมี 4 คน เป็นครู 1 คน นักเรียน 3 คน โดยบทบาทของครูในเรื่องจะเป็นครูที่บ้าอำนาจ บ้ากฎระเบียบ โมโหร้าย ชอบใช้อำนาจสร้างความหวาดกลัวบังคับให้นักเรียนอยู่ในกรอบความต้องการของตน ส่วนนักเรียนทั้ง 3 คนเป็นนักเรียนใหม่ของโรงเรียน ซึ่งทั้ง 3 คนเป็นลูกชายของคนในระดับผู้มีอำนาจรัฐ เปิดเรื่องมานักเรียนที่เป็นตัวเอกทั้ง 3 คนนี้ก็ใช้อำนาจทางเส้นสายของพ่อตัวเองที่เหนือกว่าครูทำการข่มครูที่กำลังใช้อำนาจอย่างเคยตัวต่อเพื่อนร่วมห้องให้หวาดกลัว และสยบครูคนดังกล่าวได้อย่างอยู่หมัด ครูจึงเก็บกดความแค้นไว้เพื่อหาทางล้างแค้นนักเรียนเหล่านี้เพื่อกู้ศักดิ์ศรีคืนในตอนต่อ ๆ ไป ซึ่งการ์ตูนเรื่องนี้เมื่อวาดจบไป 1 เล่ม และให้เพื่อนร่วมห้องอ่านกัน ก็มีเพื่อนร่วมห้องบางคนนำไปรายงานฝ่ายปกครองว่าผมวาดการ์ตูนที่มีเนื้อหาดูหมิ่นครูประจำชั้น การ์ตูนเรื่องนี้จึงถูกยึด และกลายเป็นตำนานในที่สุด (ครูประจำชั้นของผมในตอนนั้นไม่ได้เลวร้ายขนาดที่เขียนในการ์ตูน เพียงแต่ต้องเขียนให้โอเวอร์เข้าไว้เพื่อความสนุก) จากนั้นพอขึ้นมัธยมปลายเราทุกคนก็เลิกวาดการ์ตูนกันในที่สุด เนื่องจากหมดไฟหมดมุกที่จะวาด ประกอบกับการเรียนที่หนักขึ้นกว่าเดิม

                   ตั้งแต่เด็กผมเป็นคนที่ไม่ชอบเล่นกีฬาทุกชนิด เรียกได้ว่าเล่นไม่เป็นสักอย่าง วิชาพลศึกษาบางครั้งได้เกรด 0 ต้องซ่อม ถ้าครูคนไหนใจดีก็จะให้เกรด 1 ช่วย ๆ ไป ตอนประถมวิชานี้ไม่มีแยก แต่จำไม่ได้เหมือนกันว่าถูกนำไปรวมเฉลี่ยในวิชาใด (ส.ล.น.? ก.พ.อ.?) ทำให้ฉุดเกรดวิชานั้นลงเล็กน้อย แน่นอนว่าด้วยความที่ไม่ชอบเล่นกีฬา ก็ทำให้ไม่เป็นคนชอบดูกีฬาไปด้วย จึงไม่ได้เป็นคนชอบดูฟุตบอลตามกระแสนิยม นาน ๆ ดูทีเอาเพลิน ๆ บางทีช่วงบอลยูโรหรือบอลโลกก็อาจจะดูบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นช่วงมัธยมต้นผมก็ลองหัดเล่นบาสเกตบอลอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกัน แต่ก็อย่างว่า ด้วยความที่แทบไม่เคยออกกำลังกาย เล่นกีฬา ฟิตซ้อมอะไรแนวนี้มาก่อน ทำให้เล่นได้ไม่เก่งเท่าไร แค่เล่นเอาสนุกเฉย ๆ ผมมักจะจับกลุ่มเล่นบาสกับเพื่อนหลังเลิกเรียนแทบทุกวัน แรงบันดาลใจในการเล่นบาสก็แน่นอนว่ามาจากการ์ตูน “Slam Dunk” และ “Harlem Beat” ที่นิยมในขณะนั้น พอขึ้นมัธยมปลายก็เลิกเล่นไปในที่สุดเช่นเดียวกับการวาดการ์ตูน

                   สิ่งที่มาแทนที่การวาดการ์ตูน และการเล่นบาส (รวมไปถึงเกม) ในสมัยมัธยมปลายนั่นคือ “การ์ดเกม” และ “อินเตอร์เน็ต” สำหรับการ์ดเกมผมเริ่มต้นจากการเล่นการ์ดเกม “Yu-Gi-Oh!” ตามกระแสนิยมจากการ์ตูนเรื่องเดียวกับชื่อการ์ดเกม ก่อนจะขยับมาเล่นการ์ดเกมชื่อดัง และเป็นต้นแบบของการ์ดเกมอื่น ๆ ทั่วโลกอย่าง “Magic the Gathering” จากการชวนของเพื่อนร่วมห้อง ช่วงพักกลางวันและหลังเลิกเรียน ผมมักจับกลุ่มกับเพื่อนและรุ่นน้องเล่นการ์ดเกมกัน ในช่วงแรก ๆ ของการเล่นการ์ดเกม ผมยังมีโลกทัศน์การเล่นเพียงแค่ในรั้วโรงเรียน แต่พอผมเริ่มขยับไปเล่นที่ร้านต่าง ๆ ในห้างก็ทำให้เจอผู้เล่นที่หลากหลาย บางคนเป็นถึงระดับโปร ผมก็นั่งศึกษาและฝึกฝีมือกับผู้เล่นเหล่านั้น จนมีมุมมองและวิธีคิดในการเล่นที่เป็นสากลมากขึ้น และนำไปเผยแพร่ต่อในโรงเรียน จนเรียกได้ว่าผมกลายเป็นระดับหัวแถวของแวดวงการ์ดเกมของโรงเรียนไปแล้ว แม้แต่ในหมู่อาจารย์ที่โรงเรียนต่างก็เข้าใจว่าผมเป็นหัวโจกของกลุ่มการ์ดเกม จนถึงจุดหนึ่งที่การเล่นการ์ดเกมได้เป็นที่แพร่หลายและนิยมอย่างมากในโรงเรียน ทำให้ฝ่ายปกครองออกกฎว่า อาจารย์สามารถ “ยึด” การ์ดเกมจากนักเรียนได้ หากพบเห็นนักเรียนคนใดพกหรือเล่น ซึ่งน่าจะมีผมเพียงคนเดียวที่แสดงจุดยืนคัดค้าน และปฏิเสธการยึดกับครูทุกคน (ที่จริงผมขึ้นชื่อในเรื่องการโต้เถียงด่าครูมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว) แต่ถึงกระนั้นก็ตามหลายคนก็ยังแอบเอามาเล่นกันอยู่ดี ต่อมาไม่นานก็มีการ์ดเกมสัญชาติไทยอย่าง “Summoner Master” ออกมาตีตลาด แรก ๆ ผมก็แอบคิดว่ามันไม่น่าจะไปรอด ซึ่งเคยเห็นตัวอย่างมาแล้วจากการ์ดเกม “รามณาสูร” แต่ปรากฏว่า Summoner Master ตีตลาดวงการการ์ดเกมในไทยได้สำเร็จ เนื่องจากเป็นภาษาไทย มีระบบการเล่นที่เข้าใจได้ไม่ยากเกินไป แถมยังราคาถูกกว่าการ์ดเกมจากต่างประเทศด้วย ทำให้เพื่อนและรุ่นน้องส่วนใหญ่หันไปเล่นการ์ดเกมตัวนี้กันหมดจนเหลือคนเล่น Magic the Gathering น้อยมาก ผมจึงลองหันไปเล่นบ้าง ทีแรกกะว่าจะเล่นไปงั้น ๆ แต่ภายหลังก็ลงไปเล่นอย่างจริงจังเต็มตัวเป็นเวลานับสิบปีกว่าจะเลิกเล่น แต่สำหรับ Magic the Gathering ยังคงสะสมและเล่นอยู่จนถึงปัจจุบัน

                   อินเตอร์เน็ตเริ่มเข้ามาเป็นที่นิยมในไทยตั้งแต่ช่วงปี 1999 พอปี 2000 ผมก็ขอพ่อซื้อคอมพิวเตอร์มาทำงาน เพราะต้องพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ จากนั้นจึงเริ่มศึกษาการใช้งานคอมพิวเตอร์ และแน่นอนสิ่งสำคัญคือการเล่นอินเตอร์เน็ต ในยุคนั้น social media ยังมีไม่มาก โปรแกรมแชทที่นิยมมี Pirch98, MSN, ICQ, และ QQ มีหลายเว็บที่รับสมัครอีเมล ซึ่งผมสมัครของ hunsa.com เป็นอันแรก ต่อมาพอรู้จัก MSN จึงสมัครของ hotmail.com ยุคนั้นการพูดคุยแสดงความเห็นหรือถกเถียงแบบสาธารณะมีรูปแบบเดียวคือ “เว็บบอร์ด” ซึ่งแทบทุกเว็บล้วนมีเว็บบอร์ดเป็นของตัวเองทั้งนั้น ผมก็เล่นไปทั่ว ทั้งแบบปกติ และแบบเกรียน ๆ ชื่อ “Rishadan Port” ก็มาจากการที่ผมต้องสมมุติชื่อตัวเองขึ้นมาสักชื่อเพื่อสร้างตัวตนในอินเตอร์เน็ต ผมจึงเลือกชื่อนี้ซึ่งมาจากชื่อการ์ดใบหนึ่งของการ์ดเกม Magic the Gathering ที่ผมชอบ หลังจากเล่นอินเตอร์เน็ตมาสักพัก ผมก็รู้สึกอยากสร้างเว็บของตัวเองขึ้นมาบ้าง ทีแรกก็ใช้เว็บสำเร็จรูป เพราะมันง่ายดี แต่ข้อเสียคือมันทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าที่เขามีให้ จึงลองซื้อหนังสือ HTML มาศึกษา และเริ่มเขียนเองด้วย notepad เปล่า ๆ จนมีเว็บเป็นของตัวเองจริง ๆ คือ http://www.geocities.com /rishadan_port17 เป็นเว็บเนื้อเพลงพร้อมคอร์ดกีต้าร์ แรก ๆ เว็บนี้เป็นเว็บที่พูดถึงตัวผมเองอย่างเดียว ส่วนเนื้อเพลงพร้อมคอร์ดกีต้าร์นั้นใส่เข้ามาทีหลัง เนื่องจากอยากลงไว้เฉพาะเพลงที่ตัวเองชอบเฉย ๆ แต่ไป ๆ มา ๆ มันก็เยอะขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นว่ามีคนค้นหาและติดตามกันเป็นจริงเป็นจัง จึงเหมือนบังคับให้ผมต้องทำต่อไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเว็บเนื้อเพลงพร้อมคอร์ดกีต้าร์จริง ๆ ต่อมาได้เปลี่ยน url เป็น rishadanport.tk พอถึงจุดหนึ่งก็เลิกทำในที่สุดเนื่องจากความขี้เกียจ ปัจจุบันเว็บได้ปิดตัวลงไปแล้ว