วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

My Life #0.1 : ครอบครัว

                     ผมเกิดในครอบครัวคนจีน ปู่ย่าตายายเป็นคนจีนอพยพ เรียกได้ว่าผมมีสายเลือดคนจีน 100% ก็ว่าได้ แต่ผมก็ไม่ได้มีความภูมิใจอะไรกับความเป็นคนจีน คนไทย หรือแม้แต่คนกรุงเทพฯแต่อย่างใด รู้สึกเฉย ๆ เป็นคนจีนแล้วไง เป็นคนไทยแล้วไง ก็เป็นคนเหมือนกันแหละ

                     พ่อผมเกิดที่จังหวัดเชียงราย ปู่ผมเสียตั้งแต่พ่อผมยังเด็ก พ่อเล่าให้ฟังว่าสมัยพ่อเป็นเด็ก ครอบครัวพ่อมีฐานะยากจน แทบไม่มีเงินใช้ แทบไม่มีอาหารกิน ปากกัดตีนถีบ กินข้าวต้มเป็นหลัก กับข้าวแทบไม่มี วันไหนได้กินไข่เจียวนั่นคือวันที่ดีที่สุด พออายุประมาณ 20 กว่า ๆ พ่อก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อหางานทำ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่เนื่องจากไม่มีวุฒิการศึกษา การหางานจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก ในที่สุดก็ได้งานเป็นครูสอนภาษาจีน ซึ่งในตอนนั้นแม้แต่ภาษาไทยพ่อก็ยังพูดได้ไม่แข็งแรงเท่าไหร่ เนื่องจากพูดและศึกษาแต่ภาษาจีนมาตลอด

                     แม่ผมเกิดที่กรุงเทพฯ อากงทำงานเป็นช่างซ่อมรองเท้าเลี้ยงครอบครัวที่มีลูก 5 คน แม่เป็นลูกสาวคนโตของครอบครัว ช่วงวัยรุ่นแม่ต้องทำงานส่งเสียน้องชายเรียนให้จบ ก่อนที่ตัวเองจะไปเรียนต่อปริญญาตรีในช่วงอายุ 20 กลาง ๆ ที่มหาวิทยาลัยย่านหัวหมาก แม่เป็นผู้หญิงที่สวยมาก แม่เล่าให้ฟังว่าสมัยวัยรุ่นมีหนุ่ม ๆ มากมายมารุมจีบ และได้รับฉายาจากเพื่อนรุ่นเดียวกันว่า “สาวพันปี” เพราะแม้จะอายุมากแล้วแต่ยังดูไม่แก่เท่าอายุจริงของตัวเอง ระหว่างที่เรียนปริญญาตรี แม่ได้พบกับพ่อ พ่อเป็นฝ่ายเข้ามาจีบแม่ และสุดท้ายแม่ก็เลือกพ่อ ทั้ง ๆ ที่พ่อดูไม่น่าจะมีอนาคตและหลักประกันใด ๆ ให้กับชีวิตมากที่สุดในบรรดาตัวเลือกทั้งหมด แต่ผมมองว่าแม่เลือกคนได้ถูกแล้วล่ะ ถ้ามองในมุมมองความรักอุดมคติแบบจารีตนิยม แม้ในช่วงนั้นทางอากงอาผอจะไม่ค่อยโอเคกับพ่อ เนื่องจากกลัวว่าจะไม่มีอนาคต แต่หลังจากนั้นพ่อก็พิสูจน์ตัวเองได้สำเร็จ แม่รับปริญญาในขณะตั้งท้องผม ตอนคลอดจึงตั้งชื่อผมว่า “ปริญญา” ส่วนพ่อตั้งชื่อจีนให้ผมว่า “จื้อเทียน” โดย "จื้อ" แปลว่า สติปัญญา ส่วน "เทียน" แปลว่า ฟ้า

                     ช่วงแรก ๆ ที่ผมเกิด ครอบครัวอาศัยอยู่ย่านสุรวงศ์ ก่อนที่จะย้ายมาเปิดร้านขายเครื่องเขียนที่ย่านอุดมสุข ผมเข้าเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลย่านอุดมสุข ต่อมาเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนคาทอลิคย่านบางนา ช่วงที่ผมเรียนป.1 ครอบครัวได้ปิดประกาศเซ้งร้านที่ย่านอุดมสุข และไปซื้อทาวน์เฮ้าส์ที่ย่านวชิรธรรมสาธิต อยู่ที่นั่นได้ประมาณ 1 ปี ธุรกิจใหม่ของพ่อก็ดูจะไม่ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้ จึงได้ตัดสินใจขายบ้านทาวน์เฮ้าส์แล้วกลับไปอยู่บ้านเดิม โดยภายหลังได้เปลี่ยนจากขายเครื่องเขียนเป็นขายรองเท้า และประสบความสำเร็จด้านรายได้ จึงขายรองเท้าอยู่ที่นี่มาตลอดจนปัจจุบัน

                     พ่อผมเป็นคนธรรมะธรรมโม ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืน มีมุมมองชีวิตแบบอนุรักษนิยมค่อนข้างสูง แต่ก็ยอมรับความเป็นสมัยใหม่ได้ในระดับหนึ่ง แม้จะเป็นแบบจำใจยอมรับก็ตาม แต่ก็ไม่ถึงกับต่อต้านหรือรับไม่ได้แต่อย่างใด เพราะเข้าใจได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เป็นสัจธรรม พ่อชอบธรรมชาติ ชอบปลูกต้นไม้ ชอบเขียนกวี เป่าขลุ่ย และรำไท่จี๋ (ไทเก๊ก) สมัยผมเด็ก ๆ พ่อเป็นคนอารมณ์ร้าย มักลงโทษผมด้วยวิธีรุนแรง บางครั้งถึงขั้นทำร้ายร่างกาย แต่หลังจากที่พ่อผมเข้าหาลัทธิศาสนาหนึ่งเมื่อปี 1995 พ่อก็จิตใจดีขึ้น หันมากินมังสวิรัติ และชักนำคนในครอบครัวเข้ารีตและกินมังสวิรัติด้วย (ลัทธิศาสนานี้เพิ่งเข้ามาเผยแผ่ในไทยในช่วงนั้น ก่อนจะเริ่มมีคนหันมานับถือมากขึ้นแบบเงียบ ๆ ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง มีคนนับถือมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร) แรก ๆ ผมก็ทำไปงั้น ๆ เพื่อให้พ่อสบายใจ แต่ต่อมาก็เริ่มเชื่อจริง ๆ และไปปฏิบัติธรรมกันทั้งบ้าน แต่หลังจากนั้นราว 10 ปี ผมก็เลิกเชื่อ เลิกปฏิบัติ ที่จริงก็เลิกปฏิบัติมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ยังกินมังสวิรัติมาตลอด จนกระทั่งหลังจากเคลื่อนไหวทางการเมืองมาสักระยะ ผมจึงค่อยตัดสินใจเลิกกินมังสวิรัติ

                     แม่ผมเป็นคนที่เก่งและมีความสามารถหลายอย่าง ครอบครัวผมส่วนมากได้ดีเพราะแม่ กิจการขายรองเท้าของครอบครัวก็บริหารและจัดการโดยแม่เป็นหลัก แม่มีมุมมองชีวิตแบบกึ่งอนุรักษนิยมกึ่งเสรีนิยม จึงสามารถรับได้กับความเปลี่ยนแปลงและความเป็นสมัยใหม่เสมอ สมัยวัยรุ่นแม่เคยสนับสนุนแนวทางการเมืองของฝ่ายนักศึกษา แม่มองว่าชนชั้นปกครองทุกคนล้วนทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ไม่เคยมีใครทำเพื่อประชาชนจริง ๆ แม้แต่คนเดียว แต่ในทางปฏิบัติแม่เลือกที่จะพยายามไม่พูดเรื่องการเมืองกับคนอื่น เพราะไม่อยากขัดแย้งกับใคร เน้นรักษาความสัมพันธ์ เพื่อสร้างคอนเนคชั่นที่ดี แม่เป็นคนที่มักเสียสละความสุขความต้องการของตนเองเพื่อคนในครอบครัวเสมอ แม้จะค่อนข้างเป็นคนขี้บ่น เจ้าระเบียบ ชอบจัดของ ย้ายของในบ้านบ่อย ๆ จนผมหาของตัวเองไม่เจอ และบางครั้งชอบเอาของสะสมของคนในบ้านไปทิ้ง เพราะคิดว่าเป็นขยะ

                     ผมมีน้องสาว 1 คน อายุห่างกันเกือบ 2 ปี พ่อแม่เล่าให้ฟังว่าตอนผมอายุประมาณ 1 ขวบ เห็นผมดูเหงา ๆ เลยทำน้องเพื่อให้เป็นเพื่อนผม แต่สมัยเด็กผมรังแกน้องบ่อย เธอคงแทบไม่มีความทรงจำดี ๆ เกี่ยวกับผมสักเท่าไหร่ ผมเองตระหนักดีว่าผมเป็นพี่ชายที่แย่มาก เธอเรียนโรงเรียนประถมและมัธยมที่เดียวกันกับผม แต่หลังจบมัธยมต้น เธอเลือกไปเรียนต่อในสายอาชีพ (ปวช.) ไม่ได้ต่อสายสามัญ จากนั้นเรียนต่อและจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเดียวกับแม่ น้องผมเป็นผู้หญิงในแบบที่ผู้หญิงกระแสหลักเป็นกัน ตามกระแสเพื่อเข้าสังคม เป็นคนขี้เหงา โหยหาความรัก ชอบฟังเพลงฮิตติดชาร์ตหรือเป็นที่นิยม ชอบดูละคร ซีรี่ส์ หนัง ทั้งไทยและเทศที่เป็นที่นิยม ชอบไปดูคอนเสิร์ต บางครั้งก็ไปดูด้วยกันกับผม เพราะมีวงดนตรีที่ชอบแสดงในงานเดียวกัน ชอบซื้อเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง ฯลฯ เรียกว่าชอบ “ช็อปปิ้ง” แบบที่ผู้หญิงทั่วไปชอบกันนั่นแหละ รวมไปถึงวิธีคิด วัฒนธรรม ฯลฯ ในแบบผู้หญิงทั่วไปในกระแสหลักเป็นกัน

                     ผมค่อนข้างสนิทกับญาติพี่น้องฝ่ายแม่มากกว่าฝ่ายพ่อ เนื่องจากไม่ค่อยได้ติดต่อพบปะสนิทสนมกับญาติฝ่ายพ่อเท่าไหร่ เพราะอยู่เชียงรายบ้าง อยู่ไต้หวันบ้าง ไม่ค่อยมีใครอยู่กรุงเทพฯ นาน ๆ ทีลุงผมมาเยี่ยมบ้านจึงจะมีโอกาสเจอญาติพี่น้องฝ่ายพ่อบางคนอยู่บ้าง ซึ่งเป็นลูก ๆ ของลุง ลุงผมมีลูกหลายคนจนผมจำไม่ค่อยได้ว่ามีใครบ้าง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเจอบ่อย ๆ จะได้สนิทกันมากกว่านี้ หลายคนได้ดีกว่าผมและน้องสาวเนื่องจากสามารถพูดและเขียนภาษาจีนได้ในระดับที่ดีมาก บางครั้งผมก็คิดว่าผมควรจะตั้งใจศึกษาภาษาจีนมากกว่านี้ ทุกวันนี้ผมแค่พอพูดและฟังภาษาจีนกลาง (แมนดาริน) ได้จากการที่เคยสนทนากับพ่อแม่อยู่บ้าง แม้การสนทนานั้นจะเป็นการที่พ่อแม่พูดภาษาจีนมา แล้วเราตอบกลับเป็นภาษาไทยก็เถอะ แต่อ่านและเขียนภาษาจีนได้น้อยพอ ๆ กับเด็กอนุบาล ถ้าจะให้ไปศึกษาจริง ๆ จัง ๆ ก็คงไม่เอาอยู่ดี แค่เห็นคำจีนแต่ละคำก็ไม่ไหวแล้ว จำไม่ได้แน่นอน ด้วยความที่เป็นอักษรภาพ ไม่ใช่การผสมพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ เหมือนภาษาอื่น ๆ ทำให้เรียนรู้ได้ยากเกินไป ส่วนญาติพี่น้องทางฝ่ายแม่ถือว่าสนิทกันมาก โดยเฉพาะครอบครัวของน้าชายคนที่สามซึ่งอาศัยอยู่ที่บ้านอากง ซึ่งผมไปบ้านอากงอยู่เป็นประจำ เจอกันบ่อยมาก ทำให้สนิทกันตั้งแต่เด็ก ครอบครัวของน้าชายคนโตไม่สนิทกันเท่าไหร่ เนื่องจากพวกเขาอาศัยอยู่ต่างจังหวัดที่ค่อนข้างไกลมาก จะเจอกันเฉพาะตอนที่เขามาบ้านอากงซึ่งก็นาน ๆ ที น้าชายคนที่สองแต่งงานแต่ไม่มีลูก เช่นเดียวกับน้าสาวซึ่งเป็นคนสุดท้องของครอบครัวอากง

                     อากงและอาผอรักผมมาก เนื่องจากผมเป็นหลานชายคนแรก คาดว่าพวกเขาคงจะตั้งความหวังไว้กับผมมาก แต่หลายครั้งผมไม่สามารถทำให้พวกเขาสมหวังได้ ไม่ว่าจะเรื่องสอบเอ็นทรานซ์ไม่ติด เรียนจบปริญญาตรีแต่ไม่เข้าพิธีรับปริญญา ไม่มีเหลนให้พวกเขาอุ้ม ฯลฯ ที่สำคัญน่าจะเป็นหลานที่พวกเขาไม่สามารถเอาไปพูดอวดใครต่อใครได้ (รวมถึงเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่สามารถเอาไปพูดอวดใครต่อใครได้) ตั้งแต่จำความได้ผมจะชอบไปบ้านอากงอยู่เป็นประจำ อากงชอบพาผมไปเที่ยวห้างอยู่บ่อย ๆ เพราะมีเครื่องเล่น สวนสนุก แม้อากงจะเป็นคนไม่ชอบเที่ยว แต่ด้วยความรักหลานอยากเห็นหลานมีความสุข และด้วยความเห่อหลานชายคนแรกด้วย การพาผมไปเที่ยวจึงเป็นความสุขของอากง อากงเป็นคนออกนักเลง ๆ หน่อย ชอบทำอาหาร ชอบอยู่บ้าน ใช้ชีวิตแทบจะเหมือนเดิมทุกวัน อาหารแทบทุกมื้อที่บ้านอากง อากงจะเป็นคนไปจ่ายตลาด และทำอาหารด้วยตัวเองเสมอ ที่สำคัญคือทำได้อร่อยมากด้วย ฝีมือเรียกได้ว่าสามารถเปิดร้านอาหารได้เลย อากงจะนอนและตื่นอย่างเป็นเวลาเสมอทุกวัน คือนอนหลังจากดูละครช่อง 3 จบ และตื่นราว ๆ ตี 5 เพื่อทำอาหารเช้าให้ทุกคนในบ้านก่อนออกไปเรียนและทำงาน อาหารเช้ามักเป็นข้าวต้ม กับข้าวจะมีผักดอง ผัดผัก เนื้อสัตว์ อะไรทำนองนี้ สไตล์จีน ๆ อาผอจะนอนพร้อม ๆ อากง แต่จะตื่นราว ๆ 6-7 โมงเช้า ไปเดินออกกำลังกาย และกลับมาจิบกาแฟ ไม่กินอาหารเช้า รอกินตอนอาหารเที่ยงเลย อาผอชอบเปิดเพลงงิ้วฟังอยู่บ่อย ๆ และชอบดูหนังจีนกำลังภายใน ถ้าจำไม่ผิดตั้งแต่ช่วงที่ผมเรียนประถมปลาย อาผอเริ่มมีอาการเข่าเสื่อม หูตึง พอช่วงผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ก็เริ่มมีอาการอื่น ๆ เข้ามาและหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดอาผอก็เสียชีวิตลงในเช้าวันที่ 31 ธันวาคม 2011 นับจากนั้นเป็นต้นมา เทศกาลปีใหม่ของทุกปีก็ไม่มีความหมายอะไรสำหรับครอบครัวผมอีกต่อไป หลังจากอาผอเสียชีวิต อากงจากที่เคยมีสุขภาพแข็งแรงมาตลอดก็มีอาการทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีกำลังใจดีจากลูกหลาน