วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

My Life #9 : ชีวิตในต่างแดน

                    หลังเหตุการณ์รัฐประหารในปี 2014 ผมได้ตัดสินใจลาออกจากที่ทำงาน เพื่อเดินทางไปร่วมทำเพลงต่อกับสมาชิกวงไฟเย็นที่ลี้ภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับผมแล้วการได้ทำเพลง เล่นดนตรี มีผลงานเพลงสู่สาธารณะ เป็นความฝันอันสูงสุดของชีวิตผม ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมด หากมีทางเลือกใดที่สามารถทำให้ผมมีโอกาสได้ทำเพลง เล่นดนตรี ผมมักเลือกเส้นทางนั้นก่อนเสมอ แม้ว่าผลจะออกมาเป็นดั่งหวังหรือไม่ก็ตาม แต่ในที่สุดมันก็ได้นำพาให้ผมเดินทางมายังจุดที่ผมไม่เคยคาดคิดในทุกวันนี้

                    ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลย เดินทางไปไกลสุดแค่ไหนก็อยู่แค่ในประเทศเท่านั้น แถมยังไปเยือนไม่ครบทุกจังหวัดในประเทศเลยด้วยซ้ำ แต่แล้วผมก็ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศจนได้ในเดือนสิงหาคม 2014 ด้วยพาสปอร์ตเล่มแรกในชีวิตในทำในปีเดียวกัน ด้วยความที่ผมไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศมาก่อน ผมจึงค่อนข้างเกร็ง และคาดเดาไม่ถูกว่าจะต้องทำยังไงบ้าง แต่ดีหน่อยตรงที่ประเทศนี้ใช้ภาษาไม่ต่างจากบ้านเรามากนัก แถมยังดูช่องทีวีไทยเป็นหลัก ทำให้เข้าใจภาษาไทยได้เป็นอย่างดี การสื่อสารจึงเป็นไปอย่างราบรื่น อาหารการกินรสชาติค่อนข้างจืด และไม่หลากหลายเท่าบ้านเรา  สินค้าและบริการหลายอย่างราคาสูงกว่าบ้านเราพอสมควร เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ล้วนนำเข้าจากบ้านเราแทบทั้งสิ้น ทำให้มีต้นทุนสูง ส่งผลให้ค่าครองชีพสูงตามไปด้วย สินค้าที่ผลิตเองขายเองในประเทศก็มีการปรับราคาให้พอ ๆ กับสินค้าที่นำเข้าจากไทย แต่สาธารณูโภคหลายอย่างยังคงพัฒนาตามหลังไทยอยู่มาก อินเตอร์เน็ตที่ผมเคยคิดว่าน่าจะเร็วกว่าไทย เพราะมี 4G ก่อนไทย กลับกลายเป็นว่าไม่ได้เร็วอย่างที่คิด สำหรับ wifi บ้านนี่ราคาสูงมากหลายพันบาทต่อเดือน หากต้องการใช้ความเร็วเท่า ๆ กับมาตรฐานอินเตอร์เน็ตไทย การเดินทางในเมืองหลวงของที่นี่ หากไม่มีรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ส่วนตัว จะเดินทางค่อนข้างลำบาก แต่ดีตรงที่รถไม่ค่อยติด เพราะประชากรไม่มาก ไม่แออัดแบบกรุงเทพฯ ได้บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างจังหวัดของประเทศไทย แค่ของแพงกว่า ที่นี่รับเงินสกุลบาทก็จริง แต่ผมแนะนำให้แลกเป็นเงินสกุลท้องถิ่นดีกว่า เพราะหลายที่มักจะชาร์จเกินอัตราแลกเปลี่ยน และถ้าโชคดีหน่อยจะพบร้านค้าที่ให้แลกเงินในอัตราที่ให้เราสูงกว่าที่อื่น เนื่องจากเขาต้องการเงินบาทเพื่อไปซื้อสินค้าจากไทยมาขายอยู่ทุกวัน และทางไทยไม่รับเงินสกุลของที่นี่ คนที่นี่ค่อนข้างมีอัธยาศัยดี เป็นกันเอง

                    วันแรกที่ผมเดินทางมาที่ประเทศแห่งนี้ “หนุ่ม” ได้เดินทางมารับผมที่สถานที่แห่งหนึ่งย่านใจกลางเมืองเพื่อพาไปที่บ้านพักของผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ประกอบด้วย สมาชิกวงไฟเย็น, ลุงสนามหลวง, ซุนโฮ, สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์, และสมาชิกอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นไม่นานก็มีผู้ลี้ภัยมาอาศัยเพิ่มอีกคือ ข้าวเหนียวมะม่วง, ปุก, และตีโต้ ผ่านไปได้ไม่นานก็เริ่มมีการทะเลาะกันภายใน เนื่องจากมีนักจัดรายการออนไลน์ชื่อดังคนหนึ่งนำเรื่องภายในบ้านไปโจมตี จึงทำให้สมาชิกในบ้านที่ถูกโจมตีนั้นเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก และเชื่อว่าสมาชิกบางคนในบ้านเป็นผู้ที่นำเรื่องนี้ไปเล่าให้นักจัดรายการคนนั้นฟัง หลังจากเหตุการณ์นี้ทำให้สมาชิกบางส่วนต้องย้ายไปเช่าที่พักที่อื่นอยู่ แต่สมาชิกแทบทุกคนที่ยังอยู่ที่บ้านนี้ก็ยังคงไปมาหาสู่กับสมาชิกอีกบ้านเป็นประจำ เพราะไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน จึงส่งผลให้สมาชิกในบ้านบางคนรู้สึก “ทนไม่ได้” และท้ายสุดด้วยบรรยากาศ และเหตุผลอื่น ๆ ก็ได้เสริมความขัดแย้งขึ้นทำให้สมาชิกทุกคนยกเว้นสมาชิกที่ยังบาดหมางกับสมาชิกอีกบ้านตัดสินใจย้ายออกจากบ้านพักนี้ ไปเช่าที่พักที่อื่นอยู่เพื่อตัดปัญหา เพราะจะได้ทำงานกันต่อได้ ด้วยความที่สมาชิกคนดังกล่าวเป็นผู้ดูแลหลักของสถานี “Thailef Radio” สถานีวิทยุออนไลน์ที่กลุ่มของบ้านเราตั้งขึ้นเพื่อเคลื่อนไหวต่อสู้ทางความคิด ทำให้เราต้องเปลี่ยนจากการถ่ายทอดผ่านแอพพลิเคชั่น Tune In เป็นถ่ายทอดผ่านทาง Youtube แทน และเปลี่ยนชื่อสถานีเป็น “ThaiRev Radio” ต่อมาตลอดช่วงปี 2015-2016 ก็มีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในบ้านบางส่วนอยู่ตลอด ทั้งเข้ามาและออกไป รายการที่จัดก็มีเพิ่มและลด เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในทีม จนกระทั่งปลายเดือนพฤศจิกายน 2016 ผมกับจอมได้ถูกขับออกจากทีม จากนั้นทีมได้ย้ายที่พักไปยังที่ใหม่เพื่อความปลอดภัย งดจัดรายการสดชั่วคราว หลังจากมีแรงกดดันจากหลายฝ่าย และการเข้าตามล่าตัวนักจัดรายการออนไลน์ของทางการไทยอย่างเข้มข้น

                    ในเวลาต่อมา หลังการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์วชิราลงกรณ์ ทีม ThaiRev ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Thai Federation หรือองค์การสหพันธรัฐไท และกลับมาทำรายการสดเช่นเดิม เนื่องจากการจัดรายการออนไลน์เป็นงานที่ทำรายได้หลักของทีม ทีมจึงไม่สามารถเลิกจัดรายการได้ สำหรับผมกับจอม เมื่อไม่ได้อยู่ในทีมแล้ว รายได้จากแหล่งใด ๆ ก็ล้วนมีความสำคัญที่จะสามารถทำให้เรามีรายได้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย เพราะสำหรับผู้ที่มีสถานะหลบภัย และไม่ได้เป็นพลเมืองของที่นี่นั้นโอกาสที่จะหาทางทำมาหากินในประเทศนี้เป็นไปได้ยากยิ่ง

                    ปลายเดือนกรกฎาคม 2017 กลุ่มสหพันธรัฐไทมีปัญหากันภายใน ส่งผลให้สมาชิกบางส่วนไม่สามารถทนอยู่ร่วมกันต่อไปได้ จึงทยอยแยกตัวกันออกไป โดยขุนทองกับแยมได้ตัดสินใจมาอยู่กับผมและจอม ส่วนลุงสนามหลวง, ข้าวเหนียวมะม่วง, และสหายยังบลัดได้ย้ายไปอยู่อีกที่หนึ่ง บ้านหลังเดิมของกลุ่มสหพันธรัฐไทเหลือเพียงโกตี๋กับภรรยาของเขาและสหายเผด็จ ต่อมาไม่กี่วัน ได้เกิดเหตุโกตี๋ถูกคนจำนวนหนึ่งบุกเข้ามาอุ้มถึงบ้าน ซึ่งพยานในเหตุการณ์มีเพียงสหายเผด็จกับภรรยาของโกตี๋ โดยเรื่องราวทั้งหมดให้การโดยสหายเผด็จ ผ่านการสัมภาษณ์ในรายการต่าง ๆ หลังจากนั้นก็มีการสรุปกันว่าโกตี๋น่าจะเสียชีวิตแล้ว

                    ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา ผมและทีมไฟเย็นได้กลับมาจัดรายการสดบน Youtube เช่นเคย โดยมีรายการประจำอย่าง ไฟเย็นพบประชาชน, เปิดโฟนโค่นเผด็จการ, บทเพลงเพื่อสามัญชน Music for Life, เห่าไปวัน ๆ, และ Royal Gossip ซึ่งทีมไฟเย็นประกอบด้วย ขุนทอง, จอม, แยม, ตีโต้, และผม เป็นผู้ดำเนินรายการหลัก หลังจากนั้นวงไฟเย็นก็ได้กลับมาผลิตผลงานเพลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีเพลง “ราชาหอย”, “เสื่อม”, “อองซานซูจี” ออกมาในปี 2017 โดยทิ้งท้ายปีด้วยเพลง “..โชคดีที่มีคนไทย” ซึ่งเป็นเพลงพิเศษที่แต่งโดยผมเอง โดยร่วมร้องด้วยกันทั้งทีม เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีการเสียชีวิตของกษัตริย์ภูมิพล และจะมีพีธีศพในปลายเดือนตุลาคม เพลงนี้ถูกเรียบเรียงด้วยวิธีคิดเดียวกับเพลงสรรเสริญเทิดทูนกษัตริย์คือเรียบเรียงดนตรีแบบอลังการจัดเต็ม ซึ่งเป็นสไตล์ที่ขุนทองถนัดและเคยทำมาก่อนอยู่แล้ว

                    ในปี 2018 ทีมไฟเย็นยังคงจัดรายการสดอย่างต่อเนื่อง และมีผลงานเพลง “แหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน” ออกมาตั้งแต่ช่วงต้นปี เนื่องจากมีกระแสเรื่องนี้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และยังไม่มีใครเขียนเพลงให้กับกรณีนี้เสียที พออยู่ ๆ เนื้อเพลงและทำนองบางส่วนมันเข้ามาในหัว ผมเลยไม่รอช้ารีบคว้าแล้วเขียนต่อให้เสร็จในทันที

                    ในช่วงปลายปี 2017 ที่ผ่านมา หลังจากผมกลับมาจัดรายการบทเพลงเพื่อสามัญชน Music for Life ผมก็เริ่มให้ความสนใจกับวงไอดอลกรุ๊ปวงหนึ่งที่กำลังเป็นกระแส นั่นคือวง BNK48 เนื่องจากต้องหาข่าวเกี่ยวกับวงการเพลงมาพูดในรายการด้วย พอเกิดข่าวกรณีสมาชิกวงมีแฟนแล้วเป็นประเด็น ผมจึงเกิดข้อสงสัยและข้อวิจารณ์เกี่ยวกับกรณีนี้ และนำมาพูดคุยในรายการ ต่อมาพอวงเริ่มเป็นที่นิยม ข่าวดราม่าต่าง ๆ ของวงก็เป็นที่พูดถึงในกระแสหลัก ผมจึงมีโอกาสนำมาพูดบ่อย ไป ๆ มา ๆ เลยติดตามหาข้อมูลเพิ่มเติมจนโดนกลืนกินอย่างจริงจัง ภายหลังผมได้นำบทเพลง “Koisuru Fortune Cookie คุกกี้เสียงทาย” เพลงโคตรฮิตที่สุดของวงนี้มาแปลงเนื้อเพลงใหม่เป็น “112 Royal Pizza พิซซ่าเสี่ยงตาย” บันทึกเสียงและเผยแพร่ในนามวงไฟเย็น เพื่อเล่นกับกระแสนี้

                    หลังจากที่ผมถูกวงนี้กลืนกินโดยสมบูรณ์ ผมก็ได้ผลิตผลงานที่เรียกว่า “Fan Song” ออกมา โดยในทีแรกกะว่าจะทำแค่เพลงเดียวให้คามิโอชิของผม ณ ขณะนั้นคือ “เจนนิษฐ์” (คามิโอชิ แปลว่า สมาชิกวงที่ชอบที่สุด) เนื่องจากช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ แฟน ๆ ของวงต่างผลิตแฟนซองให้กับสมาชิกวงที่ตนชื่นชอบออกมาเป็นดอกเห็ด ผมก็รอคอยว่าเมื่อไหร่เจนนิษฐ์จะมีแฟนซองกับเขาสักที จนถึงจุดหนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่า “ในเมื่อไม่มีใครทำ เดี๋ยวกูทำเอง” ผมเลยเขียนเพลง “จน” ขึ้นมาโดยมีที่มาจากการที่ เจนนิษฐ์ มีชื่อเรียกกันว่า จอนอ หรือ จ.น. ซึ่งย่อมาจากชื่อของเธอ ผมจึงตั้งชื่อเพลงว่าจน และต้องการใช้คำนี้สื่อในท่อน “จนถึงวันที่ฉันได้พบกับเธอ” กับ “จนถึงวันที่ฉันได้จับมือเธอ” โดยบันทึกเสียงและปล่อยออกไปในนาม​ "RSDP​"

                    แต่แล้วความบานปลายก็เกิด มีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งต่อ ๆ ไป ช่วงเดือนพฤษภาคมได้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือผมได้ตัดสินใจ “เฮน” หรือเลิกคามิโอชิเจนนิษฐ์ ลดระดับเหลือแค่โอชิเฉยๆ (ยังชอบและสนับสนุนอยู่ แต่ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษกว่าคนอื่น ๆ แล้ว) เนื่องจากการแสดงออกบางอย่างของเธอที่ขัดกับอุดมการณ์ของผม ผมคามิโอชิเธอด้วยเหตุผลทางอุดมการณ์ ดังนั้นผมจึงเฮนเธอด้วยเหตุผลทางอุดมการณ์เช่นกัน หลังจากนั้นผมได้เลือก “เมษา” เป็นคามิโอชิแทน เนื่องจากโอชิเธอตั้งแต่ช่วงที่เธอโดนเล่นงานจากข่าวเรื่องมีแฟน ผมก็พยายามสนับสนุนผลักดันเธอให้มีที่ยืนมาโดยตลอด จึงเลื่อนขั้นเธอเป็นคามิโอชิเลย และแน่นอนว่าหลังจากนั้นผมก็ได้เขียนแฟนซองให้เธอเพื่อเป็นแรงผลักดันให้เธอสู้ต่อไปบนเส้นทางนี้ ชื่อเพลง “เดือนเมษาหน้าร้อน คุณเมษาน่ารัก” แต่เนื่องด้วยช่วงนั้นมีกระแสบอลโลก จึงพักโครงการนี้ไว้ทำหลังบอลโลกจบ

                    แน่นอนว่ามีครั้งที่ 2 ก็ต้องมีครั้งที่ 3 ตามมา หลังจากมีการเปิดตัวสมาชิกรุ่น 2 ของวง BNK48 อย่างเป็นทางการ ผมก็ได้โอชิเพิ่มมาจำนวนเล็กน้อย และได้เขียนแฟนซองให้กับสมาชิกรุ่น 2 คนหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาตรงสเป็คผมมากที่สุดในวง (รวมทุกรุ่น) คน ๆ นั้นคือ “อุ้ม” สาวน้อยผู้หลงรักในธรรมชาติ บ้านเธอปลูกต้นไม้และดอกไม้เยอะมาก ช่วงระยะแรก ๆ เธอโพสท์รูปดอกไม้บ่อย มีอยู่สัปดาห์หนึ่งเธอโพสท์ IG Story ดอกไม้ 7 วัน 7 สี ตามสีประจำวันเลย ทั้งหมดนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนเพลง “ดอกไม้” ขึ้นมา เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่เขียนด้วยความรู้สึกพิเศษที่ต่างจากที่เขียนให้สมาชิกวงคนอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัดเจน

                    หลังจากบอลโลกจบ ผมได้ทำการบันทึกเสียงทั้ง 2 เพลงดังกล่าวช่วงปลายเดือนกรกฎาคม เพลงยังไม่ทันเสร็จดี ผมดันเกิดไอเดียที่จะเขียนแฟนซองลำดับที่ 4 ขึ้นมา นั่นคือเพลง “มิวนิค” โดยเพลงนี้มีแรงบันดาลใจและการสื่อสารที่ต่างจากแฟนซองทุกเพลงที่เคยทำมาอย่างสิ้นเชิง เพราะสื่อสารด้วยวิธีเปรียบเทียบสมาชิกวงที่ชื่อ “มิวนิค” กับเมือง “มิวนิค” ประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเล่นของเธอเองด้วย โดยเนื้อหาพรรณาถึงความงามของมิวนิคที่เห็นแล้วหลงรัก ต้องมนต์เสน่ห์จนไม่อยากกลับไทยเลยทีเดียว พอหลังจากที่ผมได้ปล่อยเนื้อเพลงไปเล่น ๆ บน Twitter ปรากฏว่ามีคนรีทวิตและนำไปแชร์ต่อบน Facebook จำนวนมากจนเป็นกระแส ทำให้ผมตัดสินใจลัดคิวมาบันทึกเสียงและผลิตเพลงนี้ให้เสร็จก่อน 2 เพลงที่บันทึกเสียงไปก่อนหน้า เพื่อไม่ให้กระแสนี้ตกไป หลังจากปล่อยเพลงมิวนิคไปอย่างเป็นทางการ ปรากฏว่ากระแสตอบรับดีมากตามคาด เป็นที่น่าพอใจ

                    ต่อมา เดือนกันยายน เพลงเมษากับเพลงดอกไม้ก็เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งเพลงดอกไม้ผมตั้งใจให้เสร็จทันวันเกิดของอุ้มในวันที่ 29 กันยายน แต่สิ่งที่ผมไม่คาดคิดคือ หลังจากปล่อยเพลงเมษาได้ไม่กี่วัน เธอก็ประกาศจบการศึกษา (ลาออกจากวง) บอกตรง ๆ ว่าผมช็อคมาก แต่ก็เข้าใจได้ หลังจากนั้นผมจึงตัดสินใจเลื่อนอุ้มมาเป็นคามิโอชิแทน ซึ่งที่จริงในใจผมโอชิทั้งเมษาและอุ้มเท่า ๆ กันมาระยะหนึ่งแล้ว การเปลี่ยนคามิโอชิครั้งนี้ก็เหมือนไม่ได้เปลี่ยนอะไร เพราะในใจได้เลื่อนอุ้มให้เป็นคามิโอชิเท่าเมษามาตั้งนานแล้ว พอเมษาออกจากวง จึงได้คามิโอชิอุ้มอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง ที่จริงผมเองไม่ค่อยเห็นด้วยว่าคามิโอชิต้องมีได้แค่คนเดียว เหมือนกับคำถามที่ว่าทำไมคนเราจะมีสามี-ภรรยามากกว่า 1 คน และรักอย่างเท่า ๆ กันไม่ได้

                    ที่จริงผมเขียนแฟนซองไว้เยอะกว่านี้ แต่พักไว้ตรงนี้ก่อนดีกว่า กลับมาที่เรื่องการเมืองและความเป็นอยู่กันบ้าง ช่วงปลายปี 2018 มีความพยายามอย่างมากจากฟากฝั่งต่าง ๆ กดดันให้ผู้หลบภัยทางการเมืองในประเทศเพื่อนบ้านต้องงดจัดรายการวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ ซึ่งถึงจุดหนึ่งก็ส่งผลให้ทีมไฟเย็นต้องตัดสินใจเลิกจัดรายการจนได้ โดยเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยอีกต่อไปคือกรณีสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์, กาสะลอง, และภูชนะ หายตัวไปจากที่พักตั้งแต่วันที่ 12-13 ธันวาคม โดยไม่มีใครทราบว่าหายไปไหน จนกระทั่งได้ข่าวการพบศพโดนฆ่าถ่วงน้ำในเดือนมกราคม 2019 ซึ่งพิสูจน์ทราบว่าเป็นศพของกาสะลองและภูชนะ เราจึงตัดสินใจย้ายที่อยู่และงดจัดรายการเพื่อความปลอดภัย ต่อมา ทราบข่าวการจับกุมตัวลุงสนามหลวง, ข้าวเหนียวมะม่วง, และสหายยังบลัดที่เวียดนาม เนื่องจากใช้หนังสือเดินทางปลอม หลังจากถูกควบคุมตัวอยู่นาน ก็มีข่าวว่าทั้งสามคนถูกเวียดนามส่งตัวกลับไทย และไม่ได้ข่าวคราวอีกเลยว่าพวกเขาหายไปไหน เนื่องจากทางการไทยปฏิเสธว่าไม่มีข้อมูลการส่งตัวของทั้งสามคน เหตุการณ์เหล่านี้ยิ่งทำให้พวกเราตระหนักว่า เราสามารถถูกทำให้หายตัวได้ทุกเมื่อ ในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา สมาชิกแต่ละคนได้ทยอยสูญหายกันไปทีละคนสองคน ปัจจุบันรวมเป็น 8 คนแล้ว สักวันคงถึงคิวของพวกเรา เรามีความจำเป็นต้องหาทางไปประเทศที่สามให้ไวที่สุด

                    บางครั้งผมก็กลับมาถามตัวเองอยู่บ่อย ๆ ว่า คุ้มไหมกับผลที่ได้รับจากสิ่งที่ทำลงไปตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งผมก็ตอบตัวเองว่า “คุ้ม แต่ยังไม่สุด” ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่สำเร็จตามที่หวังไว้ ทั้งผลงานเพลงที่ยังไม่เสร็จ (หลายเพลงบันทึกเสียงเอาไว้แล้ว ทั้งงานเพลงของวงไฟเย็น, วงทับทิมสยาม, และ Fuxk Fake Force แต่ยังไม่ถูกนำไปทำให้สมบูรณ์) และการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปสู่จุดที่เป็นประชาธิปไตยจริง ๆ ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทัดเทียมอารยประเทศ ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุดก็ควรจะดีขึ้นกว่าสมัยก่อนที่ผมจะออกมาเคลื่อนไหว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือมันเลวร้ายกว่าสมัยก่อนที่ผมจะออกมาเคลื่อนไหวเสียอีก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคงมีความหวัง และจะไม่เลิกทำในสิ่งที่ฝัน เพราะมันคือชีวิตของผม